บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดกิจกรรม “Porsche Panamera S E-Hybrid Driving Experience 2013” ณ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ โดยเชิญสื่อมวลชนสายยานยนต์เข้าร่วมทดลองสมรรถนะและเทคโนโลยีใหม่ของเครื่องยนต์ไฮบริดจากปอร์เช่กับพานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Panamera S E-Hybrid) ทีมงาน Auto-Thailand ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับทางปอร์เช่อีกเช่นเคย จากที่ผ่านมาเราจะรู้จักรถปอร์เช่ในเรื่องความโดดเด่นด้านรูปโฉม เครื่องยนต์ ช่วงล่าง ที่มีสมรรถนะอยู่ในระดับแนวหน้าของรถกลุ่มนี้ และในช่วงหลายปีที่ผ่าน เทคโนโลยีไฮบริดก็ได้เข้ามาเป็นอีกทางเลือกในการพัฒนารถรุ่นใหม่ๆ ซึ่งแน่นอน ทางค่ายปอร์เช่ก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดเพื่อนำมาใช้กับรถยนต์ปอร์เช่หลายรุ่น สำหรับปอร์เช่ พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Porsche Panamera S E-Hybrid) ใหม่ล่าสุดคันนี้ ถือได้ว่าเป็นรถไฮบริดระดับหรูที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ไม่เพียงเท่านี้ปอร์เช่ยังพิถีพิถันในเรื่องการออกแบบให้กับพานาเมร่าใหม่คันนี้มีรูปลักษณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นสปอร์ต และมีเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว ดังนั้นปอร์เช่ พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Porsche Panamera S E-Hybrid) ใหม่ล่าสุดจึงได้กลายมาเป็นรถที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและสปอร์ตอย่างเต็มพิกัด พร้อมความสะดวกสบายและหรูหรา ปอร์เช่ พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Porsche Panamera S E-Hybrid) มาพร้อมพละกำลังเครื่องยนต์ 416 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติทริปทรอนิค เอส (Tiptronic S) 8 จังหวะ และได้รับการพัฒนาในเรื่องของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงให้ดีขึ้น 56% โดยอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเพียง 3.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรหรือ 32 กิโลเมตรต่อลิตร ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั้งหมดนั้นได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในเรื่องของการขยายช่วงเวลาของการวิ่งด้วยไฟฟ้า และการทำความเร็วสูงสุดจากเครื่องยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย และแน่นอนว่าการวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวนั้นส่งผลให้รถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และลดการปล่อยมลพิษให้น้อยลงด้วยเช่นกัน และหากวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Paname-ra S E-Hybrid) สามารถทำได้ไกลถึง 36 กิโลเมตร (ในรูปแบบการขับขี่ NEDC) เพราะการขับขี่ในรูปแบบบ NEDC นั้นไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อนจึงได้มาซึ่งค่าวัดที่ 36 กิโลเมตร แต่ค่าเฉลี่ยในรูปแบบการขับขี่ทั่วไปจะอยู่ที่ระหว่าง 18 – 36 กิโลเมตร และขึ้นอยู่กับสภาวะอากาศ ณ ขณะนั้นด้วย ปอร์เช่ พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Porsche Panamera S E-Hybrid) สามารถทำความเร็วสูงสุดจากการวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวของเครื่องยนต์ไฮบริดใหม่ล่าสุดนี้สูงถึง 135 กิโลเมตร/ชั่วโมง เลยทีเดียว อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้รวดเร็วขึ้นเป็น 5.5 วินาที และเมื่อ kick-down ระบบมอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์จะผสานการทำงานส่งกำลังออกมาเพื่อขับเคลื่อน โดยสามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญกับการใช้งานรถยนต์ที่มีสมรรถนะและเทคโนโลยีสูงแบบนี้ ก็คือการดูแลบริการหลังการขายที่มาตราฐานจากผู้แทนจำหน่ายโดยตรงอย่างบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ที่มีการรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีนาน 9 ปี เรียกว่าหมดห่วงกันไปเลย กิจกรรมครั้งนี้ เน้นให้ได้สัมผัสกับนวัตกรรมของรถสปอร์ตที่มาพร้อมความประหยัด ความเงียบแต่ยังคงความดุดันในสมรรถนะเครื่องยนต์ที่เหนือชั้น รวมถึงเทคโนโลยี Plug-in ไฮบริดชั้นนำ ซึ่งมีพละกำลังอย่างเต็มพิกัด และพร้อมที่จะสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ขับขี่ทุกขณะ โดยครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคด้านการขับรถยนต์ปอร์เช่จากประเทศเยอรมนีคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ ที่น่าสนใจและวิธีการขับขี่รถปอร์เช่อย่างถูกต้องและปลอดภัยอย่างใกล้ชิด ช่วงทดสอบ ปอร์เช่ พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Porsche Panamera S E-Hybrid) กับทีมงาน Auto-Thailand จากภาพรวมการทดสอบครั้งนี้ ทางปอร์เช่จะเน้นให้สัมผัสการทำงานและสมรรถนะของระบบไฮบริดใหม่ใน ปอร์เช่ พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Porsche Panamera S E-Hybrid) รูปแบบการทดสอบจึงเป็นการขับวนในพื่นที่ลานสนามกรมทหารราบที่ 11 ก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารในตำแหน่งผู้ขับขี่ก็สัมผัสได้ถึงความสปอร์ตตามสไตล์รถยนต์ปอร์เช่ ทันทีที่หมุนปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ เข็มของมาตรวัดระบบไฮบริดจะชี้ไปที่ Ready ในบริเวณแถบสีเขียว แสดงว่าพร้อมสำหรับการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 2 แบบ คือ E-Power และ E- Charge โดยในรอบแรกจะให้ทดลองขับโดยใช้พละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าของระบบไฮบริดล้วนๆ ในโหมด E-Power ที่สามารถให้พละกำลังการออกตัวได้แบบว่าไม่ต่างจากเครื่องยนต์เบนซินอย่างเดียวเลย ผู้ขับขี่สามารถกดคันเร่งได้แบบปรกติ แต่จะมีตัวช่วยที่หน้าปัดจะมีเข็มวัดคล้ายๆวัดรอบแสดงการทำงานของระบบตอนเราขับขี่ว่าช่วงนี้กำลังใช้งานแบบไหน โดยจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ครึ่งแรกจะเป็นการทำงานแบบไฮบริดจะเป็นแถบวัดสีเขียว เมื่อเลยไปก็จะเข้าสู่การทำของเครื่องยนต์ เอาเป็นว่าถ้าจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าก็ขับขี่อย่าให้เข็มวิ่งเกินพื่นที่สีเขียว ส่วนอีกโหมดการขับขี่คือ โหมด E- Charge ที่จะใช้การทำงานของเครื่องยนต์เป็นหลักในการขับขี่ และชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอร์รี่ไปพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน และถ้าหากเราขับขี่ใช้งานโดยที่ระบบชาร์จไฟเข้าแบตเตอร์รี่ไม่เพียงพอ เมื่อกลับถึงบ้านก็ยังสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟจากไฟฟ้าตามบ้านได้อย่างสะดวกง่ายดาย จากชุดชาร์จที่มีมาให้พร้อมและยังสามารถติดรถไปใช้งานได้อีกด้วย จากการได้สัมผัสสมรรถนะของระบบไฮบริดของ ปอร์เช่ พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Porsche Panamera S E-Hybrid) อยากบอกว่าเหมาะมากกับการใช้งานในเมืองที่การจราจรติดขัด หรือเคลื่อนตัวช้า เนื่องจากจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและไม่มีมลพิษอีกต่างหาก ทั้งยังให้พละกำลังที่เหลือเฟือในการขับเคลื่อนแม้จะต้องลากตัวถังที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา ส่วนในยามที่ต้องเร่งแซงหรือใช้ความเร็วสูง ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าก็จะผสานการทำงานได้อย่างราบรื่น รวดเร็วทันใจ ถือว่าเป็นรถสปอร์ตหรูไฮบริดที่น่าใช้คันหนึ่งเลยทีเดียว