หลังจากทีมงาน Auto-Thailand ได้เคยทดลองขับ Mitsubishi Triton ใหม่ กันไปหลังวันเปิดตัวเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในครั้งนี้ถือเป็นอีกครั้งที่จะได้มีโอกาสไปทดลองขับ Triton ใหม่อีกครั้ง โดยจะได้ขับกันขับยาวๆทั้งทางเรียบ ทางฝุ่น ขึ้นลงเขา ครบๆกันทุกสภาพกับระยะทางสองร้อยกว่ากิโลเมตรที่เชียงใหม่
Mitsubishi Triton ใหม่ ที่ได้ทดลองขับเป็นรุ่น Top สุด 2.4 Mivec GT-Premium 6AT 4WD ราคา 1,099,000 บาท ที่ด้านหน้าจะออกแบบในสไตล์ของรถยนต์มิตซูบิชิรุ่นใหม่ด้วยดีไซน์ Advanced Dynamic Shield ถือเป็นการปรับโฉมใหญ่ที่มาพร้อมไฟหน้า Bi-LED พร้อมระบบปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติและไฟตัดหมอก ไฟท้ายแบบ LED ทรงใหม่ เพิ่มสปอยเลอร์บนฝาท้ายกระบะ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง Bridgestone Dueller H/T 684 ขนาด 265/60R18
ภายในห้องโดยสารของ Mitsubishi Triton ใหม่ ก็ได้รับการปรับใหม่ให้ทันสมัย หรูหรามากขึ้น เรียกว่าแทบยกมาจาก Mitsubishi Pajero Sport ตำแหน่งการวางอุปกรณ์ออพชั่นสามารถหยิบจับใช้งานง่าย เบาะนั่งที่ให้ความกระชับนั่งสบาย ด้านคนขับสามารถปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้ายังคงปรับมือ
พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นที่สามารถปรับขึ้นลง เข้าออกได้ พร้อมแป้นแพดเดิลชิฟ โดยมีการเพิ่มปุ่มควบคุมกล้องมองภาพรอบคันและการแสดงข้อมูลบนหน้าจอสี MID บนหน้าปัดที่ควบคุมได้ที่พวงมาลัย โดยกล้องมองภาพจะแสดงภาพทั้งแบบ 360 องศา, หน้าซ้าย, หน้ารถ และท้ายรถขณะถอยจอด ซึ่งถ้าตัวรถเคลื่อนตัวเกินกว่า 10 กม./ชม. กล้องหน้าจะตัดการทำงาน แต่มุมมองอื่นๆยังใช้งานได้
คอนโซลหน้าตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน พร้อมเพิ่มการบุวัสดุแบบนุ่มที่ฐานคอนโซลเกียร์ และที่บริเวณนี้จะมีปุ่มหมุนสำหรับควบคุมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II ที่ยกมาจาก Pajero Sport แล้วยังมีการเพิ่มปุ่มควบคุมอีก 2 ฟังก์ชั่น คือ ปุ่มด้านซ้ายสำหรับระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน และปุ่มด้านขวา ปุ่ม Off-Road Mode สำหรับปรับรูปแบบการส่งกำลังในการขับขี่ออฟโรดตามสภาพเส้นทางหลากหลายแบบ 4 รูปแบบ ได้แก่ Gravel, Mud/Snow, Sand จะใช้งานได้เมื่อใช้โหมดขับเคลื่อน 4HLc หรือ 4LLc และ Rock เมื่อเข้าโหมดขับเคลื่อน 4LLc เท่านั้น รวมถึงยังมีระบบล็อกเฟืองท้ายเพื่อสมรรถนะในการลุยผ่านเส้นทางที่สมบุกสมบันอีกด้วย
โดย Triton ใหม่ รุ่น GT-Premium ยังมีระบบช่องระบายลมที่เพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่รับความเย็นจากด้านหน้าส่งมาด้านหลังที่สามารถปรับแรงลมและทิศทางหรือปิดไม่ให้ลมออกก็ได้ และบริเวณคอนโซลกลางจะมีช่องเก็บของและช่องเสียบ USB 2 ช่อง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ซึ่งตรงนี้น่าจะตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบันที่จะต้องมีการชาร์จไฟอุปกรณ์ต่างๆในการเดินทาง
Mitsubishi Triton ใหม่ ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกสองชั้น คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อนวางเหนือเพลาพร้อมโช้กอัพไขว้ โดยที่ช่วงล่างด้านหลังจะมีการปรับเปลี่ยนแผ่นแหนบ และโช้กอัพคู่หลังที่ขนาดโตขึ้นจากเดิม 42.7 เป็น 45 มม.
Mitsubishi Triton ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล รหัส 4N15 แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.4 ลิตร MIVEC เทอร์โบแปรผัน จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเลคทรอนิคส์ คอมมอนเรล ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sport Mode
ช่วงทดสอบ Mitsubishi Triton ใหม่
กับทีมงาน Auto-Thailand
สำหรับการทดลองขับ Mitsubishi Triton ใหม่ ครั้งนี้จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ กับเส้นทางมุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนท์ ที่ต้องเจอกับสภาพเส้นทางครบทุกแบบ รวมถึงจะมีเส้นทางให้ได้ทดลองสมรรถนะการขับขี่ในทางฝุ่น โดยรถทดสอบทุกคันจะเป็นรุ่น Top สุด 2.4 Mivec GT-Premium 6AT 4WD และมีผู้ร่วมเดินทางอีก 1 คน
เริ่มออกเดินทาง ทีมงาน Auto-Thailand เป็นผู้ขับขี่มือแรก ระยะทางประมาณ 150 กิโล ความรู้สึกแรกที่ก้าวเข้าสู้ห้องโดยสาร เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า นั่งสบายกระชับดี ตัวเบาะไม่นุ่มจนเกินไป การตกแต่งรวมถึงวัสดุภายในทำได้หรูหราสมราคา เรียกว่าน้องๆ Mitsubishi Pajero Sport ออพชั่นหลายตัวยกมาเต็มๆ บางตัวเพิ่มเติ่มขึ้นมา เช่น ระบบปรับระดับไฟสูงต่ำอัตโนมัติ
พวงมาลัยจับได้กระชับมือ ขนาดวงกำลังดี น้ำหนักของพวงมาลัยก็ให้การควบคุมที่มั่นใจ คล่องตัว น้ำหนักกำลังดีทั้งในการขับแบบ 2 ล้อ และในช่วงขับแบบ 4 ล้อ ที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน ปุ่มปรับต่างๆที่พวงมาลัยใช้งานง่าย และที่ด้านหน้ายังสามารถเลือกปรับอุณหภูมิแยกซ้ายขวาได้ด้วย แต่จะไม่มีระบบฟอกอากาศ Nanoe แบบใน Pajero Sport
การเดินทางในช่วงแรกจะเป็นทางเรียบถนนลาดยางทั่วไป ทำให้ได้รับรู้ถึงอัตราเร่งที่มากันแบบต่อเนื่อง จากเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ส่วนตัวค่อนข้างชอบอารมณ์การปรับเปลี่ยนเกียร์ที่ให้ความรู้สึกถึงจังหวะการต่อเกียร์ ไม่ได้ราบเรียบแบบพวกที่มีเกียร์หลายๆสปีด ซึ่งจากที่ได้ทดลองอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 11.4 วินาที วัดด้วยเครื่อง Performance Box ก็ถือว่าให้การตอบสนองได้น่าพอใจเลยทีเดียว
สำหรับความรู้สึกกับระบบช่วงล่างของ Triton ใหม่ ในการขับเส้นทางเรียบทั่วไปก็ให้การเกาะถนนใช้ได้ ซึ่งรถคันที่เราขับจะเป็นแบบ 4 ประตู นั่งกันแค่ 2 คนที่ด้านหน้าก็ยังรู้สึกได้ถึงความนุ่มสบายพอใช้ ส่วนเมื่อถึงช่วงเส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ที่เส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นโค้งซ้ายขวาสลับไปตลอดทาง รวมถึงความชันของเส้นทาง เราได้ลองใช้โหมดขับเคลื่อน 4H ซึ่งสามารถรู้สึกได้เลยจากการขับขี่ผ่านเส้นทางที่คดโค้งจะให้ความมั่นใจมากกว่าขับเคลื่อน 2 ล้อปรกติ พละกำลังแรงบิดที่มีมาในรอบที่ไม่ได้ต่ำนักก็สามารถขับขี่ได้สบายจากระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดที่ถึงแม้จะต้องอาศัยรอบเครื่องที่สูงบ้างในช่วงที่เจอทางชันๆ ในช่วงขับลงเขาหรือขึ้นทางชัน Triton ใหม่ จะมีแป้นแพดเดิลชิฟมีคอพวงมาลัยที่ไม่ได้หมุนตามพวงมาลัย ที่ช่วยในการปรับเชนเกียร์ได้ในการขับขี่สะดวกมากขึ้น ส่วนการควบคุมพวงมาลัยในโค้งนั้นก็ทำได้คล่องตัว ช่วงล่างที่เซตมาค่อนข้างแข็งทำให้การขับขี่ในทางแบบนี้ หนึบแน่นดี
เมื่อมาถึงเส้นทางแบบออฟโรดทางฝุ่นที่สภาพเส้นทางเป็นแบบดินฝุ่นปนหิน ขับขึ้นลงเขาลัดเลาะซ้ายขวาตลอดเส้นทางประมาณ 8 กม. สมรรถนะเครื่องยนต์อัตราเร่งในการขับขี่ไม่ใช่ปัญหาสามารถไปได้สบาย แต่ที่รู้สึกได้ชัดเจนก็คือ อาการดีดเด้งของช่วงล่าง ด้วยธรรมชาติของด้านหลังที่เป็นแหนบและไม่มีน้ำหนักบรรทุกกดที่ท้ายรถจึงรู้สึกได้ถึงความแข็งกระด้างกับเส้นทางขรุขระแบบนี้ ซึ่งตรงนี้ช่วงล่างคงปรับเซตมาเผื่อไว้สำหรับใช้งานบรรทุกของหรือในการโดยสารกันแบบ 4-5 ที่นั่งเต็มคันซึ่งก็น่าจะมีความนุ่มนวลมากกว่านี้
และในช่วงเส้นทางออฟโรดทางฝุ่นมีบ้างช่วงที่เป็นทางแคบ เพื่อให้ได้ทดลองใช้งานระบบกล้องมองภาพรอบคันที่ถือว่ามีประโยชน์มากกับในบางเส้นทางที่จะมีมุมอับจุดบอดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนก็จะเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น โดยการใช้งานก็เพียงกดปุ่มรูปกล้องที่ด้านซ้ายของพวงมาลัยก็สามารถดูภาพในมุมมองต่างๆได้จากการทำงานของกล้อง 4 ตัวจับภาพรอบคัน
ในช่วงที่เปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสาร ในเบาะนั่งด้านหน้านั้นตำแหน่งการนั่งก็ให้ความสบาย สามารถใช้งานหยิบจับอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างสะดวก บางช่วงได้มาทดลองนั่งที่เบาะหลัง ซึ่งต้องบอกเลยว่า เบาะหลังของ Mitsubishi Triton ใหม่ จะนั่งได้สบายจากองศาของพนักพิงเบาะที่ไม่ตั้งชันเหมือนรถกระบะ 4 ประตูรุ่นอื่นๆ พื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะค่อนข้างกว้างขวางโปร่งสบาย ผู้โดยสารด้านหลังยังเย็นสบายจากระบบระบายลมเย็นที่เพดานที่จะดูดลมเย็นจากด้านหน้าส่งกระจายมายังห้องโดยสารด้านหลัง ที่สามารถปรับระดับแรงลม ทิศทางลมได้ตามต้องการจากช่องแอร์ทั้งซ้ายขวาที่เพดาน และยังมีช่องเชื่อมต่อ USB 2 ช่อง สำหรับผู้โดยสารด้านหลังให้ใช้งานกันอีกด้วย
การนั่งโดยสารที่เบาะหลังในช่วงทางฝุ่น จะค่อนข้างดีดเด้งพอสมควร ส่วนในช่วงทางเรียบเส้นทางคดโค้งก็จะมีการโยนตัวและรู้สึกถึงความกระด้างของช่วงล่างอยู่บ้าง แต่จะน้อยกว่าในช่วงที่วิ่งในทางฝุ่น ตรงนี้สำหรับทางเรียบถ้ามีน้ำหนักบรรทุกหรือนั่งโดยสารกันสัก 3-4 คนก็น่าจะให้ความนุ่มนวลมากกว่านี้แน่นอน และอีกเรื่องที่สังเกตได้ก็คือ เรื่องการเก็บเสียงในห้องโดยสารที่ทำได้ดีกว่าเดิม จากการสอบถามทางทีมงานมิตซูบิชิได้รับคำตอบว่ามีการเพิ่มวัสดุกันเสียงในจุดต่างๆในทุกรุ่นย่อย (มากน้อยตามราคารถ)
ส่วนในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ Mitsubishi Triton ใหม่ ในช่วงที่ได้ขับขี่ตัวเลขเฉลี่ยตามมิเตอร์ที่หน้าปัดทำได้ 9 กิโลลิตร กับเส้นทางขึ้นลงเขา และทางฝุ่น รวมถึงบางช่วงขับทำความเร็วตามขบวนตลอด ที่สำคัญส่วนใหญ่จะขับในโหมด 4H ก็ถือว่าตัวเลขที่ทำได้อาจจะไม่มากนัก โดยในช่วงที่ขับในทางเรียบได้ลองสังเกตรอบการทำงานของเครื่องยนต์ ในความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้รอบเครื่อง 1,650 รอบ ความเร็ว 120 กม./ชม. ใช้รอบเครื่อง 2,000 รอบ ซึ่งเมื่อดูจากตัวเลขนี้ ถ้าขับใช้งานในเส้นทางเรียบปกติในความเร็วคงที่ก็น่าจะทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้มากกว่านี้แน่นอน
ทีมงาน Auto-Thailand ขอสรุปแบบนี้ Mitsubishi Triton ใหม่ โฉมนี้ถือว่ามีการปรับเปลี่ยนหลายจุด ทั้งรูปโฉมภายนอก และภายในที่ปรับให้ดูดีกว่ารถกระบะแบบเดิม ออพชั่นก็จัดเต็ม เรียกว่าแทบจะยกมาจากรุ่นพี่อย่าง Pajero Sport โดยเฉพาะระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II ที่ลองใช้แล้วค่อนข้างประทับใจ รวมถึงพละกำลังของเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร MIVEC กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดที่จำนวนเกียร์อาจจะน้อยกว่าคู่แข่ง แต่สมรรถนะการขับขี่ให้การตอบสนองได้ดี เบาะนั่งหลังยังคงนั่งสบายสุดในกระบะ 4 ประตู แต่ในส่วนของระบบช่วงล่างที่ถึงแม้ว่าจะปรับมาใหม่ แต่ก็ยังมีความกระด้างให้รู้สึกได้อยู่บ้าง ต้องบอกตรงนี้ว่า Mitsubishi Triton ใหม่ เทียบราคาค่าตัวกับออพชั่นที่ได้มาก็น่าเป็นอีกตัวเลือกในกลุ่มกระบะ 4 ประตูที่น่าสนใจอีกรุ่นครับ