ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดกิจกรรม “Porsche Cayenne E-Hybrid Driving Experience 2018” โดยเชิญสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะยนตรกรรมพรีเมียม SUV ยอดนิยมสายพันธุ์ Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ที่ติดตั้งขุมพลัง E-performance พร้อมเสริมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่คอยดูแลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่ปอร์เช่ ประเทศไทยได้จัดกิจกรรมทดลองขับ Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ผ่านสนามทดสอบสมรรถนะ 3 สถานี ได้แก่ สถานี Handling การทดสอบบังคับควบคุมรถ ซึ่งจะทดสอบการทรงตัวและการตอบสนองพวงมาลัยของรถอย่างรวดเร็ว สัมผัสความรู้สึกขณะขับขี่ในการตั้งค่า Porsche Active Suspension Management (PASM) สถานี Braking สร้างความมั่นใจและปลอดภัยได้ทุกสถานการณ์ด้วยระบบเบรกมาตรฐานจากปอร์เช่ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบเบรคที่ดีที่สุดในโลก และสถานี Slalom ทดสอบความแม่นยำ ความรวดเร็วในการตอบสนองของช่วงล่าง จากระบบอัจฉริยะของปอร์เช่ อาทิ Porsche Dynamic Chassis Control Sport (PDCC Sport) ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง Rear axle steering และระบบควบคุมตัวถัง Porsche 4D Chassis Control เป็นต้น ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด ใหม่ (The new Cayenne E-Hybrid) มาพร้อมขุมพลัง E-performance เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร 340 แรงม้า หรือ 250 กิโลวัตต์ ทำงานผสานกับระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า 136 แรงม้า หรือ 100 กิโลวัตต์ ให้พละกำลังสูงสุดรวมกว่า 462 แรงม้า หรือ 340 กิโลวัตต์ ที่ 5,300-6,400 รอบ แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ที่ 1,340-5,300 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Tiptronic S โดยปอร์เช่เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 5 วินาที และอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 29.4 กิโลลิตร สำหรับแบตเตอรี่ที่ติดตั้งใน Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ได้รับการพัฒนาใหม่เพื่อเพิ่มความจุในการเก็บสะสมพลังงาน เมื่อเปรียบเทียบกับ คาเยนน์ (Cayenne) รุ่นก่อน พบว่าความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นจาก 10.8 เป็น 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระบายความร้อนด้วยระบบ fluid-cooled ติดตั้งลงบริเวณพื้นตัวถังด้านท้ายของรถอย่างหนาแน่น ประกอบด้วยโมดูลพลังงาน 8 ชุด ภายใน แต่ละโมดูล คือเซลล์ prismatic lithium ion จำนวน 13 เซลล์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มความจุภายในระยะเวลา 7.8 ชั่วโมง ด้วยไฟฟ้าแรงดัน 230 โวลต์ ผ่านสายต่อขนาดกระแส 10 แอมป์ ในกรณีที่ใช้อุปกรณ์พิเศษ on-board charger 7.2 กิโลวัตต์ ด้วยไฟฟ้าแรงดัน 230 โวลต์ ผ่านสายต่อขนาดกระแส 32 แอมป์ แทนที่ระบบชาร์จมาตรฐานแบบ 3.6 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่จะชาร์จพลังงานจนเต็มความจุภายในระยะเวลาเพียง 2.3 ชั่วโมงเท่านั้น ช่วงทดสอบ Porsche Cayenne E-Hybrid กับทีมงาน Auto-Thailand สำหรับการทดลองขับ Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ครั้งนี้จัดที่สนามปทุมธานี สปีดเวย์ แบ่งรูปแบบการทดสอบเป็น 3 สถานี คือ สถานี Braking สถานี Handing และสถานี Slalom โดยในรอบแรกจะมีทีมงานของปอร์เช่ขับพาดูเส้นทางพร้อมแนะนำการขับทั้ง 3 สถานี เริ่มสถานีแรก Braking ออกตัวจากหยุดนิ่งขับทำความเร็วตรงมา จะมีไพลอนวางดักให้หักหลบซ้ายขวา แล้วเบรกให้รถหยุดพร้อมควบคุมพวงมาลัยหักหลบไปในช่องทางดังกล่าว ความรู้สึกในการขับ ต้องบอกว่าอัตราเร่งจากหยุดนิ่งของ Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ทำได้อย่างรวดเร็วจากพละกำลังเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Tiptronic S ได้อย่างทันใจ ดึงกันแบบหลังติดเบาะ และเมื่อต้องเบรกชลอหยุดรถในจุดที่กำหนดก็สามารถทำได้อย่างมั่นใจ การควบคุมพวงมาลัยในขณะเบรกสามารถบังคับทิศทางได้เหมือนขับทั่วไป ตรงนี้น่าจะมาจากระบบช่วยการขับขี่ PASM และระบบ PDCC ของปอร์เช่ที่เข้ามาช่วยให้รถมีการทรงตัวหนึบแน่นในการขับขี่ สถานีที่สอง Handing เป็นสถานีที่ให้ขับด้วยความเร็วไปตามไลน์สนามที่จะมีไพลอนวางดักไว้ตามโค้ง และให้หักหลบด้วยความเร็ว โดยความรู้สึกในช่วงการขับที่สถานีนี้ Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) เป็นรถที่มีความแรงพละกำลังสามารถเรียกใช้ได้ทันทีทุกครั้งที่กดคันเร่ง ยิ่งถ้าได้ใช้โหมด Sport + ก็ทำให้สัมผัสอัตราเร่งได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม ที่สำคัญทั้งการควบคุมพวงมาลัย ระบบช่วงล่างก็ปรับเป็นการขับแบบสปอร์ตหนึบแน่นขึ้นตามโหมดที่เลือกใช้ จากสถานีนี้ทำให้เห็นว่ารถอเนกประสงค์ SUV ก็สามารถขับสนุกในแบบรถสปอร์ตได้แบบสบาย มาถึงสถานีสุดท้าย Slalom โดยจะมีการวางไพลอนให้ขับหลบหลีกซ้ายขวาทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งก็แสดงถึงสมรรถนะของระบบพวงมาลัยที่ให้การควบคุมขับขี่ที่คล่องตัว แม่นยำ ระบบช่วงล่างของ Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ที่มีความหนึบแน่นนุ่มหนึบ ทำให้การขับในสถานีนี้ทำได้อย่างคล่องตัว ขับง่ายกว่าที่คิด ทีมงาน Auto-Thailand ขอสรุปแบบนี้ จากการที่มาทดลองขับ Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ที่รุ่นนี้ได้รับการปรับพัฒนาไปหลายจุด ทำให้การขับขี่ทำได้ดีกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ ด้วยพละกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบช่วยการขับขี่ต่างๆของปอร์เช่ ทำให้เมื่อมารวมกันทำให้ Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) เป็นรถที่ขับสนุกคันหนึ่ง ที่สำคัญทางปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ก็มีการประกาศราคาใหม่แบบเร้าใจด้วยราคาเริ่มต้นที่ 6.3 ล้านบาท ราคาถูกกว่าเดิมเมื่อตอนเปิดตัว พร้อมยังมีการรับประกันจากปอร์เช่กันแบบยาวๆ เรียกว่าถ้ากำลังมองหารถอเนกประสงค์ที่มีครบทั้งความหรูหรา สมรรถนะการขับขี่ Porsche Cayenne E-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ก็เป็นทางเลือกแรกๆที่น่าสนใจเหมือนกันครับ