หลังจากค่ายมาสด้าเพิ่งเปิดตัว Mazda 2 ใหม่ ในงาน Motor Expo 2019 ไปเมื่อเร็วๆนี้ ด้วยการปรับโฉมภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ภายในปรับโทนสีเน้นความหรูให้อารมณ์สปอร์ต โดยมาทั้งในแบบซีดาน 4 ประตู และแฮทช์แบ็ค 5 ประตู กับเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร และดีเซล 1.5 ลิตร เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมด้วยระบบ GVC + ที่มาช่วยให้การขับขี่ได้สนุกและปลอดภัยมากขึ้น
Mazda 2 ใหม่ รูปโฉมภายนอกได้รับการปรับใหม่ ภายใต้ KODO design เจนเนอเรชั่นใหม่ เน้นความเรียบง่าย ในรุ่นแฮทช์แบ็ค 5 ประตู ด้านหน้าปรับใหม่ด้วยกันชนหน้าใหม่ กระจังหน้าแบบตะแกรงรวงผึ้ง ไฟหน้าใหม่แบบโปรเจคเตอร์ LED พร้อมไฟสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน (Daytime Running Lamp) แบบวงแหวน ในรุ่นกลางถึงรุ่น Top ออพชั่น ด้านหลังเปลี่ยนไฟท้ายใหม่ รูปทรงเดิมแต่มีการปรับรายละเอียดภายในใหม่ กันชนหลังออกแบบใหม่เน้นเส้นแนวนอนตกแต่งโดยโครเมี่ยม และยังมาพร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 16 นิ้ว
ส่วนในรุ่นซีดาน 4 ประตู จะมีการปรับด้านหน้าใหม่เหมือนรุ่นแฮทช์แบ็ค 5 ประตู แต่ด้านหลังไฟท้ายจะเป็นแบบเดิม เปลี่ยนแค่กันชนหลังดีไซน์ใหม่
ส่วนภายในห้องโดยสารของ Mazda 2 ใหม่ ทั้งรุ่นซีดาน 4 ประตู และแฮทช์แบ็ค 5 ประตู มาพร้อมแผงคอนโซนหน้า แผงประตูด้านข้าง เน้นโทนสีเทาและสีน้ำเงิน ความกว้างขวางอาจจะไม่ใช่จุดเด่นในห้องโดยสารของ Mazda 2 ใหม่ เบาะนั่งหน้าดีไซน์ใหม่ที่ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของ SKYACTIV-Vehicle Architecture เพื่อท่านั่งที่ถูกต้องทำนั่งขับขี่ได้กระชับสบายขึ้นในทุกเส้นทาง ตัวเบาะหุ้มด้วยหนัง เสริมด้วยหนังกลับ Grand Luxe Suede สีดำ ที่บริเวณที่สัมผัสกับผู้นั่งในส่วนก้นและแผ่นหลัง ซึ่งช่วยให้นั่งได้กระชับไม่ลื่นตามแรงเหวี่ยงรถเวลาขับที่ในทางโค้งและยังช่วยให้นั่งได้นุ่มสบายกว่าแบบเดิมด้วย
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบฟังก์ชั่นและตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ตามคอนเซ็ปต์ HMI (Human-Machine Interface) ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตามจากถนน อาทิ Active Driving Display จอสกรีนใสแสดงข้อมูลการขับขี่ในระดับสายตาของผู้ขับขี่, Sports Paddle Shift ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย และ Cruise Control ระบบควบคุมควมเร็วคงที่ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ การติดต่อสื่อสารไร้ขีดจำกัดด้วยระบบ Mazda Connect ที่รองรับ Apple CarPlay โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่ควบคุมด้วย Center Commander ปุ่มควบคุมอัจฉริยะซึ่งถูกจัดวางในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งาน
Mazda 2 ใหม่ ยังมีการเพิ่มวัสดุซับเสียงในจุดต่างๆ เพื่อช่วยลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นที่หลังคารถ ฝาท้ายด้านบนของรุ่นแฮทช์แบ็ค 5 ประตู ซุ้มล้อหลังด้านใน รวมถึงปรับปรุงฉนวนกันเสียงที่รอยเชื่อมเสา B
อีกไฮไลต์สำคัญที่มีการเพิ่มเติ่มเข้ามาใน Mazda 2 ใหม่ ทุกรุ่นย่อย ก็คือ ระบบควบคุมขับขี่อัจฉริยะขั้นสูงหรือ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ที่ในรุ่นเดิมจะเป็นแค่ระบบ GVC ธรรมดา โดยระบบนี้จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพการเกาะถนนในการขับขี่ในโค้งได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น
โดยระบบ GVC Plus จะทำงานเมื่อพวงมาลัยมีการหักเลี้ยวและมีการกดคันเร่ง โดยขณะรถเริ่มเข้าโค้ง เครื่องยนต์จะลดแรงบิดลงเล็กน้อยให้เหมาะสมกับลักษณะของโค้งทําให้น้ำหนักของตัวรถถ่ายมายังล้อหน้า ซึ่งเป็นล้อที่ใช้ในการควบคุมรถ ส่งผลให้ล้อหน้ายึดเกาะถนนมากขึ้น เข้าโค้งได้แม่นยํา และในขณะที่รถอยู่ในโค้ง ระบบจะคืนแรงบิดให้กลับสู่สภาวะปรกติเพื่อควบคุมการถ่ายน้ำหนักของตัวรถให้อยู่ในสภาวะสมดุลทั้งหน้าและหลัง ส่งผลให้การแก้พวงมาลัยในโค้งเกิดขึ้นน้อยที่สุด และเมื่อรถกำลังออกจากโค้ง ระบบจะตรวจการหมุนพวงมาลัยของผู้ขับขี่ เพื่อคำนวณการเบรกเพียงเล็กน้อย ในล้อหน้าด้านนอกโค้ง เพื่อช่วยให้รถกลับสู่ทางตรงได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ก็ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัย i-ACTIVSENSE แบบครบเช่นเดิมในทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะขณะเปลี่ยนเลน (Advanced Blind Spot Monitoring), ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลังหรือ RCTA (Rear Cross Traffic Alert), ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง พร้อมระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า เป็นต้น
Mazda 2 ใหม่ ยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล มาตรฐาน Euro 5 เช่นเดิม โดยเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G 1.3 ลิตร 4 สูบเรียง ให้กำลังสูงสุด 93 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ แรงบิดสูงสุด 123 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ และเครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D 1.5 ลิตร Turbo 4 สูบเรียง ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,500 รอบ ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Skyactiv-Drive พร้อม Manual Mode Activematic และคันเร่งไฟฟ้า
ช่วงทดสอบ Mazda 2 ใหม่
กับทีมงาน Auto-Thailand
สำหรับการทดลองขับ Mazda 2 ใหม่ ครั้งนี้จัดขึ้นที่สนามช้างฯ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งจะว่าไปก็ถือเป็นครั้งแรกที่มาทดสอบรถซิตี้คาร์ในสนามแข่งระดับโลกแบบนี้ เพราะด้วยสภาพเส้นทางในสนามถ้าสมรรถนะรถไม่ดีพอรับรองว่ามีเรื่องให้ติเยอะแน่นอน แต่ทางค่ายมาสด้าคงมั่นใจใน Mazda 2 ใหม่ ตัวนี้ รวมถึงต้องการให้ได้ทดลองระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ที่พัฒนาเพิ่มจากรุ่นเดิม
โดยมีรถยนต์ Mazda 2 ใหม่ ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลในแบบซีดาน 4 ประตู และแฮทช์แบ็ค 5 ประตู ให้ได้ทดลองขับในสนามตามสถานีต่างๆ 3 สถานีใหญ่ๆ
สถานีแรกจะใช้ Mazda 2 ใหม่ รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล โดยมีคุณหนึ่ง มานะ พรศิริเชิด นักแข่งจากทีมแข่ง Mazda คอยให้คำแนะนำในสถานีนี้ที่จะเน้นให้ได้สัมผัสการทำงานของระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ซึ่งจะใช้พื้นที่โค้ง 2,3,4 ของสนามช้างฯ แล้วขับวนลัดกลับมาที่จุดเริ่มต้น
เริ่มรอบแรกด้วยการขับตรงไปด้วยความเร็ว 70 กม./ชม. แล้วยกคันเร่งและหักหลบไพล่อนที่วางไว้ ขวา-ซ้ายต่อเนื่อง ด้วยสภาพทางช่วงนี้จะเป็นทางลงเนินนิด อัตราเร่งของเครื่องยนต์ดีเซลสามารถเรียกใช้ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงจุดที่ไพล่อนวางไว้ก็ยกคันเร่งหักหลบ ก็จะรู้สึกที่การโยนตัวของตัวรถบาง พวงมาลัยก็ยังสามารถควบคุมให้อยู่ในทิศทางที่เราจะไปได้อยู่ ขับผ่านมาที่โค้ง 2 และ 3 ก็จะมีไพล่อนวางบอกจุดเบรกจุดเลี้ยวไว้ให้ หลังจากนั้นจะมาเจอกับช่วงที่สองที่จะได้ทดลองอัตราเร่งกันอีกครั้ง พร้อมมีไพล่อนวางไว้รูปแบบเดิม แต่สภาพเส้นทางจะขึ้นเนินนิดๆ ซึ่ง Mazda 2 ใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล ก็สามารถให้พละกำลังอัตราเร่งได้ทันใจใช้ได้ถึงแม้จะขับขึ้นเนินนิดๆ การขับเข้าไพล่อนก็ใช้วิธีเดิมคือ ขับด้วยความเร็ว 70 กม./ชม. แล้วยกคันเร่งและหักหลบไพล่อนที่วางไว้ ขวา-ซ้ายต่อเนื่อง ก็ยังสามารถขับผ่านไปได้แบบสบายกับอาการโยนตัวในช่วงหักหลบไพล่อน
ขับต่อไปในเส้นทางที่จะต้องลัดสนามวนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของสถานีนี้ก็จะมีการให้ทดลองการซับแรงและการเก็บเสียงของ Mazda 2 ใหม่ โดยใช้การขึงเชือกไว้ที่พื้นและขับผ่าน ซึ่งก็ต้องบอกตรงๆว่าไม่รู้จะเปรียบกับรุ่นเดิมยังไง แต่ก่อนหน้าในรอบที่ขับดูไลน์สนามได้มีโอกาศนั่ง Mazda CX-8 ผ่านเส้นทางนี้ ซึ่งในช่วงที่เราขับ Mazda 2 ใหม่ ผ่านก็พยายามฟังเสียงก็ไม่ได้ต่างจากกันมากนัก ถือว่าการเก็บเสียงรบกวนต่างๆทำได้น่าพอใจในรถขนาดเล็กแบบนี้
ขับกลับมายังจุดเริ่มต้น ในรอบที่สองนี้จะขับในเส้นทางเดิม รถคันเดิม ความเร็วเร็วกว่าเดิมด้วย แต่จะใช้การเหยียบคันเร่งไว้ในช่วงที่ขับหักหลบไพล่อน ซึ่งต้องบอกเลยว่า ความรู้สึกในการขับพวงมาลับควบคุมง่ายกว่าเมื่อระบบ GVC+ ทำงาน ตัวรถมีอาการโยนตัวน้อยลงแบบรู้สึกได้เลย ทำให้การขับขี่หลบไพล่อนทำได้เนียนผ่านไปได้รวดเร็ว ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าความเร็วที่้ใช้ก็ต้องเหมาะสมกับเส้นทางด้วย ไม่ใช้ใช่ความเร็วตะบันเข้าไป แบบนั้นรถอะไรก็หลุดแน่นอน และเมื่อผ่านมาจุดที่สองก็ทดลองขับโดยแตะคันเร่งเลี้ยงความเร็วไว้ ขับหักหลบไพล่อนก็จะรู้สึกขับง่าย อาการโยนตัวของรถน้อยลงกว่ารอบแรก ซึ่งนี่ทำให้เห็นการทำงานของระบบ GVC+ ที่เข้ามาช่วยในการขับขี่ได้อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะช่วงขับขี่ในทางโค้ง เป็นอันจบการทดลองขับ Mazda 2 ใหม่ ในสถานีแรก
สถานีที่สองจะเป็นการขับโดยใช้ทางโค้งของสนามช้างฯ ตั้งแต่โค้ง 6 ไปจนถึงโค้ง 11 แล้ววนลัดกลับมายังจุดเริ่มต้น โดยในสถานีนี้พี่อั๋น สิรคุปต์ เมทะนี มาค่อยแนะนำการขับขี่ ซึ่งในสถานีนี้จะใช้ Mazda 2 ใหม่ รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เพื่อทดสอบการทำงานของระบบ GVC+ ที่จะได้ขับ 2 รอบเช่นเดิม
ในรอบแรกจะให้ทดลองขับไปด้วยความเร็วแล้วลองยกคันเร่งเพื่อขับเข้าโค้งต่างๆ เริ่มออกตัวรู้สึกได้กับอัตราเร่งที่ไม่ปรู้ดปร้าดเหมือนรถที่ใช้ในสถานีแรก แน่นอนครับ...เรากำลังใช้ Mazda 2 ใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน ในการทดลองขับในสถานีนี้ ซึ่งถ้าไม่เอาไปเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ก็ถือว่ารถรุ่นนี้มีอัตราเร่งไม่ได้เป็นรองใครจากพละกำลังเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Skyactiv-Drive ที่ในตลาดรถยนต์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะลดต้นทุนหันไปใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT กันหมดแล้ว โดยอัตราเร่งของ Mazda 2 ใหม่ ที่ได้อาจจะไม่ได้ราบเรียบเหมือนเกียร์ CVT แต่จะให้อารมณ์ในการเปลี่ยนต่อเกียร์ที่ราบรื่นไม่แพ้กัน และยังให้ความอัตราการสิ้นเชื้อเพลิงไม่ต่างกันหรือบางรุ่น Mazda 2 ใหม่ เครื่องยนต์เบนซินยังทำได้ดีกว่าอีกด้วย
ความรู้สึกในการขับในรอบแรกผ่านโค้งต่างๆ โดยขับไปด้วยความเร็วแล้วลองยกคันเร่งเพื่อขับไหลเข้าโค้งไปก็จะมีอาการโยนตัวของรถในทุกโค้ง การควบคุมพวงมาลัยก็จะต้องหักเลี้ยวแก้อาการตลอด ยิ่งถ้าเพิ่มความเร็วอีกอาการต่างๆยิ่งชัดเสียงยางร้องดังทุกโค้ง เมื่อครบรอบกลับมาในรอบที่สอง จะให้การแตะคันเร่งในช่วงขับเข้าโค้งต่างๆ เรียกว่าสามารถควบคุมตัวรถให้เข้าโค้งเดิมได้ง่ายขึ้น อาการโยนตัวน้อยลงมากจนสามารถขับเพิ่มความเร็วมากขึ้นในบางโค้ง
จากการได้ทดลองขับ Mazda 2 ใหม่ ในสองสถานีแรกที่เน้นให้ได้สัมผัสการทำงานของระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ที่พัฒนาเพิ่มขึ้นมาจากเดิมและถูกติดตั้งมาเป็นมาตราฐานใน Mazda 2 ใหม่ ทุกรุ่น ซึ่งก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างในช่วงที่ระบบนี้ทำงานกับไม่ทำงาน ซึ่งแน่นอนว่ามันช่วยให้เราขับขี่ได้มั่นใจและปลอดภัยมากกว่าเดิมแน่นนอน
สถานีสุดท้าย จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ด้วยรถยนต์ Mazda 2 ใหม่ ในกลุ่มแรกจะเป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน อีกกลุ่มจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล แต่ละกลุ่มจะมีรถทดสอบ 3 คัน พร้อม Mazda MX-5 มาเป็นรถนำขบวน โดยออกวิ่งเว้นระยะที่ละกลุ่ม ครั้งละ 2 รอบ แล้วสลับกลุ่มเพื่อทดลองอีกรุ่นอีก 2 รอบสนามช้างฯ
รอบแรกของการได้มีโอกาศทดลองขับรถยนต์ซิตี้คาร์ Mazda 2 ใหม่ รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน แบบเต็มรอบสนามช้าง 2 รอบ เริ่มออกตัวก็พอสัมผัสพละกำลังของเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร ไม่มีเทอร์โบมาช่วยแบบรถซิตี้คาร์ค่ายอื่น อัตราเร่งก็สามารถเรียกใช้ได้ค่อนข้างทันใจพอประมาณกับการขับในช่วงทางตรงในสนามช้าง ระบบเบรกสามารถชลอความเร็วได้ตามสั่งเพื่อลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง โดยในบางโค้งได้ทดลองยกคันเร่งแล้วปล่อยไหลประคองพวงมาลัยเข้าโค้งไปเลย ก็จะรู้สึกว่าต้องแก้อาการรถกันบ้าง รวมถึงอาการโยนตัวเหมือนจะหลุดออกจากโค้ง ส่วนเมื่อทดลองแตะคันเร่งเลี้ยงไว้บังคับพวงมาลัยเข้าโค้งไปด้วยความเร็วเท่าๆเดิม จะรู้สึกเลยว่าเมื่อระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ทำงานเราจะบังคับพวงมาลัยเข้าโค้งโดยตัวรถมีอาการโยนตัวที่น้อยลงจากเดิมชัดเจน เรียกว่าแค่ปรับวิธีขับนิดเดียวให้เข้ากับรถ Mazda 2 ใหม่ ก็สามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทางโค้งต่างๆ ของสนามช้างฯ ซึ่งในการใช้งานจริงกับถนนหลวงทั่วไปคงไม่ได้ขับเข้าโค้งกันด้วยความเร็วแบบนี้ แต่เชื่อเถอะครับอย่างน้อยก็มีระบบนี้ไว้คอยช่วยยามฉุกเฉินที่ให้ความปลอดภัยในการขับขี่กว่าแน่นอน สนุกกับการขับ Mazda 2 ใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน ครบ 2 รอบ จึงเข้ามาเปลี่ยนกลุ่มไปทดลองขับ Mazda 2 ใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล
เริ่มออกตัวกับ Mazda 2 ใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล ก็รู้สึกถึงอัตราเร่งที่แตกต่างจากแรงดึงเมื่อเราเหยียบคันเร่งออกตัวในทางตรง อัตราเร่งมากันแบบต่อเนื่อง เช่นเดิมเราใช้การขับขี่แบบเดียวกับที่ทดลองขับ Mazda 2 ใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน ต้องบอกว่าความรู้สึกในการขับเข้าโค้งกับ Mazda 2 ใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล จะต้องปรับการขับเล็กน้อย จากการที่ตัวรถมีน้ำหนักที่มากกว่ากดลงที่ด้านหน้าจากน้ำหนักของเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งถ้าขับแบบเดิมอาจจะมีการบานออกจากโค้งไปบ้าง แต่เมื่อปรับการขับและรู้จังหวะในการขับเข้าโค้ง Mazda 2 ใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล จะเป็นรถที่ขับสนุกกว่าทั้งอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ และเมื่อมีระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) เข้ามาช่วยในการขับขี่ในโค้งต่างๆ ยิ่งทำให้การขับทำได้มั่นใจ พวงมาลัยควบคุมง่าย ตัวรถนิ่งมีอาการโยนตัวน้อยลง
ทีมงาน Auto-Thailand ขอสรุปแบบนี้ จากการที่ได้มีโอกาสมาทดลองขับ Mazda 2 ใหม่ รถยนต์ซิตี้คาร์จากค่ายมาสด้าที่กล้าและมั่นใจในการให้มาทดลองขับกันในสนามแข่งรถระดับโลก ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่ด้วยรูปแบบเส้นทางในสนามสามารถฟ้องอาการต่างๆของรถได้เลย แต่ Mazda 2 ใหม่ ก็เป็นรถยนต์ซิตี้คาร์ที่มีสมรรถนะทั้งพละกำลังของเครื่องยนต์ และที่โดดเด่นก็คือ ช่วงล่างของ Mazda 2 ใหม่ ที่มีการเพิ่มระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) เข้ามาในทุกรุ่น ซึ่งพอได้ทดลองขับกันเต็มๆในสนามช้างฯแห่งนี้แล้วต้องบอกว่า Mazda 2 ใหม่ เป็นรถที่เหมาะและตอบโจทย์กับคนที่เน้นเรื่องสมรรถนะการขับขี่เป็นหลัก ก็คงต้องบอกว่า ถ้ากำลังมองหารถยนต์ซิตี้คาร์สักคัน รูปโฉมภายนอกอาจจะไม่ได้สดใหม่อย่างคู่แข่งที่เพิ่งเปิดตัวมาใหม่หมดทั้งคัน รวมถึงเรื่องความกว้างขวางของห้องโดยสารก็อาจจะเป็นรองอยู่บ้าง แต่ Mazda 2 ใหม่ ก็ยังโดดเด่นกว่าในเรื่องสมรรถนะการขับขี่ที่ไม่เป็นสองรองใครในรถยนต์กลุ่มนี้แน่นอนครับ...