มิชลิน ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียางรถยนต์ระดับโลก เผยโฉมผลิตภัณฑ์ยางรุ่นล่าสุด ‘มิชลิน เอนเนอจีย์ เอ็กซ์เอ็ม 2+’ (MICHELIN Energy XM2+) ที่มาพร้อมสโลแกน “มั่นใจ...ทุกเวลา ด้วยพลังเบรก MICHELIN Energy XM2+” (Your Stopping Super-power) มุ่งเจาะกลุ่มผู้ใช้รถยนต์นั่งขนาดกลาง ขนาดเล็กและอีโค่คาร์ที่ใส่ใจเป็นพิเศษในเรื่องความมั่นใจด้านความปลอดภัยและความคุ้มค่าในการใช้งานและสมรรถนะที่ยาวนานกว่า ยางรุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อรถยนต์นั่งขนาดกลาง ขนาดเล็กและอีโค่คาร์โดยเฉพาะ โดยมีศักยภาพเหนือกว่ายางรุ่นก่อนหน้าในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะการเบรกบนถนนเปียกและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทั้งยังให้ความปลอดภัยเป็นเยี่ยมทั้งเมื่ออยู่ในสภาพใหม่และแม้ยางใกล้หมดดอก ด้วยนวัตกรรมเนื้อยางผสมซิลิกาสูตรใหม่ (Full-Silica Rubber Compound) ส่งผลให้ยาง ‘ MICHELIN Energy XM2+’ มีค่าเฉลี่ยระยะเบรกบนถนนเปียกสั้นกว่ายางแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ อยู่ที่ 1.5 เมตร เมื่อเทียบระหว่างยางสภาพใหม่ด้วยกัน และ 2.6 เมตร เมื่อเทียบระหว่างอย่างใกล้หมดดอก อีกทั้งยังรองรับระยะทางการขับขี่มากกว่ายางแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ ถึงร้อยละ 25 “สัญลักษณ์บวก (+) บนแก้มยางบอกให้ทราบถึงการเสริมสูตรเนื้อยางใหม่ที่ส่งผลให้ยาง ‘ MICHELIN Energy XM2+’ มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายางรุ่นก่อนหน้าทั้งด้านสมรรถนะการเบรก อายุการใช้งาน และสมรรถนะที่ยาวนานกว่า นอกจากนี้ ยังคงสัญลักษณ์ Green X เอาไว้แบบเดียวกับยางรุ่นก่อนหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นยางที่มีคุณสมบัติด้านการประหยัดพลังงาน การผสานคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่าพร้อมกับให้ความมั่นใจได้ยาวนานกว่าและความคุ้มค่าสมราคาเข้าไว้ด้วยกัน ยาง ‘ MICHELIN Energy XM2+’ มีวางจำหน่ายแล้วรวมทั้งสิ้น 36 ขนาด (ขอบ 14-16 นิ้ว) ราคาเริ่มต้นที่เส้นละ 2,290 บาท ณ เครือข่ายศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร ‘ไทร์พลัส’ และร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของมิชลินทั่วประเทศ ช่วงทดสอบยาง MICHELIN Energy XM2+ กับทีมงาน Auto-Thailand เริ่มต้นสถานีแรกด้วยการทดสอบระยะเบรกบนพื้นผิวเปียกของยาง MICHELIN Energy XM2+ และยางแบรนด์คู่แข่ง โดยรูปแบบการทดสอบจะใช้รถยนต์โตโยต้า ใส่ยางแต่ละรุ่น ซึ่งยางทุกรุ่นที่นำมาทดสอบจะถูกนำไปปรับหน้ายางลง 2 มม. เพื่อจำลองว่าผ่านการใช้งานมาแล้วระยะเวลาหนึ่งที่ดอกยางสึกลงไป การวิ่งจับเวลาจะทำ 3 รอบต่อยาง 1 ชุด เพื่อเก็บตัวเลขทั้ง 3 รอบมาหาค่าเฉลี่ยระยะเบรก โดยจะให้วิ่งทำความเร็ว 80 กม./ชม.มาในทางตรงแล้วเบรกให้รถหยุดที่จุดกำหนดแล้ววัดระยะเบรก ด้วยเครื่อง Performance Box ซึ่งพื้นผิวที่ทดสอบจะมีการฉีดพรมน้ำไว้ตลอดเวลา ผลการทดสอบตัวเลขที่ได้จากค่าเฉลี่ยระยะเบรก ยาง MICHELIN Energy XM2+ อยู่ที่ 28.9 เมตร ผลการทดสอบตัวเลขที่ได้จากค่าเฉลี่ยระยะเบรก ยางคู่แข่งชั้นนำแบรนด์ A อยู่ที่ 32.2 เมตร ผลการทดสอบตัวเลขที่ได้จากค่าเฉลี่ยระยะเบรก ยางคู่แข่งชั้นนำแบรนด์ B อยู่ที่ 33.3 เมตร ผลการทดสอบตัวเลขที่ได้จากค่าเฉลี่ยระยะเบรก ยางคู่แข่งชั้นนำแบรนด์ C อยู่ที่ 34.3 เมตร ผลการทดสอบตัวเลขที่ได้จากค่าเฉลี่ยระยะเบรก ยางคู่แข่งชั้นนำแบรนด์ D อยู่ที่ 37.9 เมตร จากตัวเลขจะเห็นว่าผลการทดสอบระยะเบรกของยาง MICHELIN Energy XM2+ สามารถทำระยะได้สั้นที่สุดในยางทั้ง 5 รุ่นนี้ ซึ่งจะมาจากการออกแบบและพัฒนาของยางรุ่นนี้ให้มีประสิทธิภาพในด้านต่างๆที่ดีกว่ารุ่นก่อน สถานีที่สอง เป็นการทดสอบเรื่องเสียงยาง และการควบคุมที่พวงมาลัย โดยใช้รถยนต์โตโยต้าใส่ยาง MICHELIN Energy XM2+ และยางคู่แข่ง วิ่งทดสอบในเส้นทางภายในสวนนงนุช ซึ่งเส้นทางจะเป็นพื้นผิวคอนกรีต และจะมีช่วงทดสอบโดยนำเส้นลวดเหล็กมาวางขวางบนพื้นผิวให้ขับผ่าน เพื่อจับอาการเสียงยาง และการซับแรงของยางที่จะรู้สึกได้ในช่วงที่ขับผ่าน ขับผ่านมาก็จะเจอกับเส้นจราจรที่ตีขวางเพื่อเตือนชลอความเร็วที่เราจะพบเจอบ่อยในสภาพเส้นทางจริง เพื่อเตือนก็ถึงโค้ง หรือทางที่ค่อนข้างอันตราย จากความรู้สึกในการขับรถยนต์ที่ใส่ยางคู่แข่ง จุดแรกที่แตกต่างค่อนข้างชัดเจนก็คือ เสียงยางที่วิ่งบนพื้นผิวถนนคอนกรีตจะมีเสียงดังกว่าในรถยนต์ที่ใส่ยาง MICHELIN Energy XM2+ ส่วนในช่วงที่ขับผ่านเส้นลวดและเส้นจราจรนั้น เท่าที่สังเกตได้รถยนต์ที่ใส่ยาง MICHELIN Energy XM2+ จะมีเสียงที่เบากว่ารถยนต์ที่ใส่ยางคู่แข่งเล็กน้อย สถานีที่สาม เป็นการขับในลานกว้างที่มีการเซตเส้นทางให้วิ่งตามแนวไพล่อน จุดแรกจะเป็นทางโค้งซ้ายและมีพื้นผิวเปียก ผ่านมาจะเป็นเส้นทางหักหลบซ้ายขวา และวิ่งทำความเร็ว 55 กม./ชม. เพื่อหักหลบขวาซ้ายบนพื้นผิวเปียก รอบแรกจะเป็นการขับรถยนต์ที่ใส่ยางคู่แข่ง ในจุดที่เป็นโค้งมีพื้นผิวเปียกก็จะมีอาการลื่นไถลบ้าง ส่วนเมื่อวิ่งทำความเร็ว 55 กม./ชม. เพื่อหักหลบขวาซ้ายบนพื้นผิวเปียก ตรงนี้อาการลื่นไถลค่อนข้างชัดเจน ต้องใช้การควบคุมพวงมาลัยจนถึงต้องเบรกชลอความเร็วช่วยถึงจะผ่านเส้นทางนี้ได้โดยไม่ชนไพล่อนที่วางไว้ ส่วนรอบที่สอง ขับรถยนต์ที่ใส่ยาง MICHELIN Energy XM2+ ในจุดที่เป็นโค้งมีพื้นผิวเปียกจะรู้สึกได้เลยว่าให้ความมั่นใจกว่า และเมื่อมาถึงช่วงที่ต้องหักหลบขวาซ้ายบนพื้นผิวเปียก ก็สามารถควบคุมรถและขับผ่านได้ตามความเร็วที่กำหนดได้ง่ายกว่า ทีมงาน Auto-Thailand ขอสรุปแบบนี้ จากการได้มาทดลองยาง MICHELIN Energy XM2+ ซึ่งรูปแบบที่จัดให้เปรียบเทียบกันแบบตรงไปตรงมา ซึ่งทำให้เราได้รับรู้ถึงสมรรถนะของตัวผลิตภัณฑ์ ประสิทธิภาพการใช้งานที่ได้ทดลองเอง ซึ่งก็ถือว่า MICHELIN Energy XM2+ เป็นยางรถยนต์ที่น่าจะให้ความคุ้มค่ากับการใช้งานอีกรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ