บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรมทดสอบ “Mercedes-Benz Driving Events: The new C-Class Press Test Drive” ครั้งแรกกับการทดสอบสมรรถนะรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในตระกูล The new C-Class 2 รุ่น ได้แก่ Mercedes-Benz C 180 Exclusive และ Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic อย่างเต็มรูปแบบในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (CHANG INTERNATIONAL CIRCUIT) สนามแข่งรถมาตรฐาน FIA Grade 1 / FIM Grade A ที่จังหวัดบุรีรัมย์
การทดสอบสมรรถนะรถยนต์ The new C-Class ในครั้งนี้ ถือได้ว่ามีความพิเศษมากกว่าการทดสอบรถยนต์ในครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมา ด้วยจำนวนรถที่บริษัทฯ เตรียมให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับมีมากถึง 10 คัน นับเป็นการทดสอบรถยนต์ในกลุ่ม Contemporary Luxury ครั้งใหญ่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เลยทีเดียว นอกจากนี้ สนามที่ใช้ทดสอบสมรรถนะ คือ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (CHANG INTERNATIONAL CIRCUIT) ที่ได้รับมาตรฐาน FIA Grade 1 / FIM Grade A โดยถือเป็นกลุ่มแรกที่ได้มีโอกาสขับขี่ทดสอบรถยนต์ในสนามแข่งรถระดับโลก โดยมีผู้ฝึกสอนจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ร่วมให้คำแนะนำตลอดกิจกรรม
สำหรับ Mercedes-Benz new C-Class ตัวนี้ใช้รหัสตัวถัง W 205 เป็นยนตรกรรมรุ่นใหม่ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ได้รับการออกแบบด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น เร้าใจ ดูปราดเปรียว สปอร์ต ทันสมัยมากกว่ารุ่นเดิม โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic ที่โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบสปอร์ต มีโลโก้เมอร์เซเดส-เบนซ์ขนาดใหญ่ตรงกลางบนลาย 2 แถบ และไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System ที่มาพร้อมกับระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะ พร้อมชุดแต่งสปอร์ตแบบ AMG ล้ออัลลอยลาย 5 ก้านขอบ 18 นิ้ว ด้วยราคาค่าตัว 3,190,000 บาท ส่วนในรุ่น Mercedes-Benz C 180 Exclusive กระจังหน้าแบบคลาสสิคที่มาพร้อมกับโลโก้เมอร์เซเดส-เบนซ์บนฝากระโปรงลาย 3 แถบเสริมโครเมียม พร้อมฟังก์ชั่น AIRPANEL ซึ่งสามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน รวมถึงการระบายอากาศที่ดียิ่งขึ้น และไฟหน้าแบบ LED High Performance พร้อมล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้ว ด้วยราคาค่าตัว 2,790,000 บาท
Mercedes-Benz C 180 Exclusive





Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic






สำหรับภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบอย่างล้ำสมัย โดยเน้นความหรูหราในรุ่น Mercedes-Benz C 180 Exclusive แต่ขณะเดียวกันถ้าต้องการความสปอร์ตก็ไปที่รุ่น Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic ภายในโดดเด่นด้วยแผงคอนโซลกลางที่สร้างเป็นชิ้นเดียวกับพนักวางแขน พร้อมด้วย touchpad ที่ติดตั้งบริเวณที่พักแขน ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเสียง อาทิ วิทยุ-ซีดี MB Audio 20 ที่บริเวณคอนโซลได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
โครงสร้างตัวถังของ Mercedes-Benz new C-Class ออกแบบให้มีน้ำหนักเบาแต่คงความแข็งแกร่ง ลดการสั่นสะเทือน โดยใช้วัสดุแบบอะลูมิเนียมไฮบริดน้ำหนักเบา ทำให้น้ำหนักของตัวรถเบาลงกว่าเดิมถึง 100 กิโลกรัม ช่วยลดอัตราการใช้พลังงานลงกว่าร้อยละ 20 โดยที่รถยังมีสมรรถนะคงเดิม ศูนย์ถ่วงของรถที่ต่ำลงยังช่วยให้การขับขี่ง่ายและมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น นอกจากนั้นมิติของตัวรถยังมีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่ารุ่นเดิม เริ่มจากความยาวที่ 4,686 มม. ยาวกว่ารุ่นเดิม 95 มม. ความกว้างที่ 1,810 มม. กว้างขึ้นถึง 40 มม. และฐานล้อที่ 2,840 มม. ยาวขึ้นกว่าเดิม 80 มม. ทำให้เนื้อที่สำหรับที่นั่งตอนหลังดูกว้าง และทำให้รู้สึกสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS (โดยทางโรงงานเคลมตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 6.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 ก.ม./ช.ม. อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 17.9-18.9 ก.ม./ลิตร)

Mercedes-Benz C 180 Exclusive ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1,600 ซีซี เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 5,300 รอบ แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS (โดยทางโรงงานเคลมตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 8.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 223 ก.ม./ช.ม. อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 17.2-18.5 ก.ม./ลิตร)
ช่วงทดสอบ Mercedes-Benz C 180 Exclusive
และ Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic
กับทีมงาน Auto-Thailand
หลังเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (CHANG INTERNATIONAL CIRCUIT) จังหวัดบุรีรัมย์ ก็เริ่มต้นด้วยการรับฟังบรรยายสรุปจากทีมงานเมอร์เซเดส-เบนซ์ หลังจากนั้นจึงแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เพื่อผลัดเปลี่ยนกันทดสอบในสถานีต่างๆ โดยการทดสอบครั้งนี้ใช้รถยนต์ Mercedes-Benz C 180 Exclusive 5 คัน และ Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic 5 คัน ให้ได้ขับขี่ทดสอบในแต่ละสถานี

สถานี Racing Line
สถานีแรกกับการได้สัมผัส Mercedes-Benz C 180 Exclusive ในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (CHANG INTERNATIONAL CIRCUIT) ในรูปแบบ Racing Line เรียกว่าอารมณ์เดียวกับการแข่งขันในสนาม โดยจะมีการตั้งไพล่อนไว้ในตำแหน่งสำคัญต่างๆ เพื่อเป็นจุดบอกไลน์การขับขี่ คือ ไพล่อน 3 ตัว หมายถึงจุดเบรก ไพล่อน 2 ตัว หมายถึง จุดเลี้ยว และไพล่อน 1 ตัว หมายถึง จุด Apex ที่ทางทีมผู้ฝึกสอนจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้กำหนดไว้ให้ขับเข้าไปชิดไพล่อนที่สุด โดยทั่วทั้งสนามจะมีการตั้งไพล่อนแบบนี้ไว้ให้เราวิ่งให้ถูกไลน์
เริ่มรอบแรกด้วยการใช้ความเร็วไม่มาก เพื่อเป็นการสร้างความคุ้นชินกับตัวรถ และไลน์สนาม โดยใช้โหมดการขับขี่แบบ Comfort เมื่อถึงจุดเลี้ยวในโค้งต่างๆ ทางผู้ฝึกสอนจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็จะอธิบายกับขับขี่และวิ่งนำให้เราขับตามไลน์ จากการขับขี่ Mercedes-Benz C 180 Exclusive ให้การควบคุมที่มั่นใจ ยิ่งถ้าเราสามารถขับขี่ได้ตามไลน์ที่ถูกต้องก็จะสามารถผ่านโค้งนั้นได้อย่างรวดเร็ว และราบรื่น แต่ถ้าหากเข้าไม่ถูกไลน์ หรือใช้ความเร็วไม่เหมาะสมก็จะมีเสียงยางให้ได้ยินและรถจะบานออกจากโค้ง


และในรอบต่อมาของการขับขี่ทดสอบจึงเปลี่ยนใช้โหมดการขับขี่แบบ Sport โดยในรอบนี้ได้เพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก ความรู้สึกที่สัมผัสได้ชัดเจนคือ พละกำลังที่สามารถเรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็วมาขึ้น ทุกครั้งที่เติมคันเร่ง การปรับเซตการควบคุมพวงมาลัยและระบบช่วงล่างที่จะปรับหนึบมากขึ้นทำให้ควบคุมรถได้ดีขึ้น
รอบที่ 3 เปลี่ยนใช้โหมดการขับขี่แบบ Sport+ เป็นโหมดที่ให้เราสามารถสัมผัสพละกำลังของ Mercedes-Benz C 180 Exclusive กันแบบเต็มที่ การปรับเปลี่ยนเกียร์จะมีช่วงตัดต่อกำลังให้รู้สึกได้อารมณ์แบบสปอร์ต รวมถึงการปรับเซตทั้งน้ำหนักการควบคุมพวงมาลัยและระบบช่วงล่างที่เน้นให้ขับขี่สนุกเกาะหนึบเพิ่มขึ้น อาการโคลงตัวในช่วงเข้าโค้งน้อยลงชัดเจน ถึงต้องนี้จากการสอบถามทีมผู้ฝึกสอนจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ เรื่องของการทำงานของโหมด Sport+ ที่ทั่วไปจะเป็นการตัดการทำงานของระบบช่วยการทรงตัวให้ได้ควบคุมตัวรถกันแบบดิบๆ แต่ในรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ระบบต่างๆจะยังคงทำงานอยู่เช่นเดิม เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

สถานี Lane Change
หลังจากนั้นจึงได้สลับเปลี่ยนรถทดสอบไปขับขี่ Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic ในสถานี Lane Change ซึ่งใช้ทางตรงในช่วงโค้ง T1 ถึงโค้ง T3 โดยจะให้ขับขี่มาด้วยความเร็วประมาณ 90 ก.ม./ช.ม.ในทางตรง และจะมีการตั้งไพล่อนจำลองให้หักหลบขวา-ซ้ายตามช่องทางที่วางไพล่อนดักไว้ โดยห้ามใช้เบรก เพื่อให้ได้สัมผัสการทำงานของระบบช่วยการทรงตัว จากคำแนะนำของทีมผู้ฝึกสอนจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ บอกว่าให้มองและควบคุมพวงมาลัยไปยังทิศทางที่จะไป โดยให้ขับขี่ทั้ง 3 โหมด เริ่มด้วยโหมดการขับขี่แบบ Comfort การขับขี่หักหลบไปตามแนวไพล่อนจะรู้สึกว่ามีการโยนตัวของตังถังบาง แต่ก็ยังอยู่ในการควบคุม ในรอบต่อมาปรับโหมดการขับขี่เป็นแบบ Sport ความรู้สึกที่ได้สัมผัสอาการของตัวรถค่อนข้างนิ่งและการควบคุมพวงมาลัยทำได้แม่นย่ำขึ้น ส่วนในการขับขี่ทดสอบในโหมดการขับขี่เป็นแบบ Sport+ น่าจะเป็นโหมดที่สามารถควบคุมพวงมาลัยและพาตัวรถหลบหลีกไพล่อนที่วางดักไว้ได้อย่างคล่องตัวและให้ความมั่นใจมากเดิมอีก จากการปรับเซตระบบพวงมาลัย และช่วงล่างที่มีความหนึบแน่นทำให้อาการโยนตัวน้อยทำให้สามารถควบคุมการขับขี่ผ่านไปได้แบบสบาย

สถานี Emergency Brake
สถานีต่อมา Emergency Brake โดยใช้รถยนต์ Mercedes-Benz C 180 Exclusive ที่ต้องการเน้นให้ได้ทดลองใช้งานระบบเบรกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในยามฉุกเฉิน ใช้เส้นทางช่วงโค้ง T7 ถึงโค้ง T9 โดยจะมีไพล่อนวางกำหนดจุดเบรกและจุดเลี้ยวไว้ การทดสอบจะให้ขับขี่มาด้วยความเร็วเมื่อมาถึงการโค้งจะมีไพล่อนวางกำหนดจุดเบรกและให้เหยียบแป้นเบรกแบบเต็มแรงให้สัญญาณไฟเบรกหลังแบบฉุกเฉินกระพริบ แล้วควบคุมรถไปยังไพล่อนที่วางกำหนดไว้ สถานีนี้เป็นการจำลองสถานการณ์ที่เรียกว่าไม่มีใครอยากขับขี่รถแล้วต้องเบรกกันแบบนี้ แต่ในทางกลับกันทำให้เราได้ลองฝึกควบคุมในสถานการณ์แบบนี้ก็จะสามารถนำไปใช้ในเวลาที่จำเป็นต้องใช้งานจริงได้ เรียกว่าถ้าเราขับขี่มาด้วยความเร็วที่พอเหมาะ ระบบเบรกและระบบช่วยต่างๆก็สามารถช่วยให้เราปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง

สถานี Motorkhana หรือ Gymkhana
สถานี Motorkhana หรือ Gymkhana ในสถานีนี้จะใช้ Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic โดยใช้พื้นที่บริเวณช่วงโค้ง T4 ถึงโค้ง T5 ด้วยการตั้งไพล่อนวางดักให้วิ่งตามไลน์ที่กำหนด โดยจะให้วิ่งตรงไปด้วยความเร็ว แล้วหักหลบซ้าย-ขวาตามช่องที่วางไพล่อน หลังจากนั้นขับตรงไปเพื่อวนรอบกลุ่มไพล่อน 1 รอบ แล้วจึงขับเข้าสู่เส้นทางตรงที่มีการวางแนวไพล่อนให้ขับขี่แบบสลาลอมแล้วมาเบรกยังจุดที่กำหนดไว้
เริ่มรอบแรกขอนั่งดูไลน์สนามกันก่อนจะได้ไม่หลง ความรู้สึกในการนั่งในสถานีนี้สมรรถนะช่วงล่างของ Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic ถือว่าได้รับการปรับมาค่อนข้างลงตัว คือถ้าขับขี่ทั่วไปไม่เร็วมากใช้โหมดการขับขี่แบบ Comfort ก็ให้ความมั่นใจแล้ว แต่ถ้าต้องการความกระฉับกระเฉงก็สามารถเลือกใช้โหมดการขับขี่แบบ Sport หรือ Sport+ ที่ระบบจะปรับเซตการควบคุมพวงมาลัย ช่วงล่าง และการส่งพละกำลังได้ดีมากขึ้น
และในช่วงที่ต้องขับขี่ทำสลาลอมในรอบแรกใช้โหมดการขับขี่แบบ Comfort อาการของรถก็จะมีโยนตัวบางแต่ก็ยังสามารถควบคุมได้ ส่วนในการใช้โหมดการขับขี่แบบ Sport หรือ Sport+ การบังคับควบคุมพวงมาลัยให้ความคมแม่นย่ำขึ้น พละกำลังที่ส่งออกมาได้อย่างรวดเร็ว ช่วงล่างที่ปรับหนึบเพิ่มขึ้นทำให้การขับขี่แบบสลาลอมสามารถทำได้คล่องตัวรวดเร็วกว่าเดิม
สำหรับสถานี Motorkhana หรือ Gymkhana นี้นั้นการเดินคันเร่งรวมถึงการควบคุมพวงมาลัยนั้นสำคัญ เพราะถ้าขับเร็วเกินก็ไม่ได้ช่วยให้ใช้เวลาน้อยลงกลับจะเสียเวลามากกว่าเดิม

สถานี Race Start หรือ Launch Control
มาถึงสถานีสุดท้าย Race Start หรือ Launch Control ซึ่งเป็นสถานีที่หลายคนติดใจ เพราะจะเป็นขับขี่ออกตัวแบบรถแข่ง ซึ่งระบบนี้จะมีมาในรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นที่เป็นเครื่องยนต์ AMG เท่านั้น วันนี้เราได้สัมผัสกับ Mercedes-Benz CLA 45 AMG และ Mercedes-Benz A 45 AMG อย่างละรอบ ตรงนี้เท่าที่จับความรู้สึกในการขับขี่ และจากการพูดคุยกับผู้ร่วมทดสอบต่างมีความเห็นคล้ายกันว่า Mercedes-Benz A 45 AMG ให้การควบคุมขับขี่สนุกมากกว่า Mercedes-Benz CLA 45 AMG
สำหรับการใช้งานก็ไม่ได้ซับซ้อนมาก เริ่มจากเหยียบเบรกด้วยเท้าซ้าย เข้าเกียร์ D แล้วกดเลือกโหมด M จากนั้นดึงแป้น Paddle Shift ทั้ง 2 ข้างค้างไว้พร้อมกัน สังเกตที่บนหน้าปัดจะแสดงตัวอักษรการเข้าโหมด Race Start หลังจากนั้นดึงแป้น Paddle Shift ฝั่งขวามืออีก 1 ครั้ง ณ ตอนนี้เท้าซ้ายยังเหยียบเบรกตลอด ใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งให้สุด เมื่อพร้อมที่จะพุ่งไปข้างหน้าก็ยกเท้าซ้ายออกจากแป้นเบรกรถจะออกตัวอย่างรวดเร็ว และเมื่อวิ่งไปถึงปลาย Track จะมีไพล่อนวางกำหนดจุดเบรกไว้ ให้เหยียบแป้นเบรกแบบเต็มแรงจนรถหยุดนิ่ง เรียกว่าความรู้สึกในการเบรกนิ่งมาก ตัวรถไม่มีอาการปัดเป๋ใดๆเลย ทั้งๆที่ใช้ความเร็วมาแบบเต็มที่
สำหรับ Mercedes-Benz CLA 45 AMG และ Mercedes-Benz A 45 AMG มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2,000 ซีซี เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 360 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 460 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT DCT 7 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG 4MATIC รุ่นใหม่


และมาถึงกิจกรรมสุดท้ายในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (CHANG INTERNATIONAL CIRCUIT) ก็คือการขับขี่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ แบบ Full Lap เต็มเส้นทางในสนาม โดยแบ่งรถออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 จะเป็น Mercedes-Benz CLA 45 AMG 1 คัน และ Mercedes-Benz A 45 AMG 2 คัน กลุ่มที่ 2 Mercedes-Benz C 180 Exclusive 5 คัน และกลุ่มที่ 3 Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic 5 คัน สามารถสลับสับเปลี่ยนขับได้ทั้ง 3 รุ่น โดยแต่ละกลุ่มจะมีผู้ฝึกสอนจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ขับนำไลน์และค่อยควบคุมไม่ให้ใช้ความเร็วสูงเกินไป ความรู้สึกจากการขับขี่ในรอบนี้ประทับใจสุดกับสมรรถนะของ Mercedes-Benz A 45 AMG ที่ให้ทั้งพละกำลังเครื่องยนต์ที่เหลือเฟือทันใจ การควบคุม ช่วงล่าง ระบบเบรกให้ความมั่นใจทั้งที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง ก็อย่างว่าครับ มันเป็น AMG แท้ๆปรับเซตมาโดยเฉพาะ
ส่วนความรู้สึกในการขับแบบ Full Lap กับ Mercedes-Benz C 180 Exclusive และ Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic ก็ถือมีสมรรถนะที่น่าพอใจ โดยเฉพาะการตอบสนองของเครื่องยนต์และระบบช่วงล่างใน Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic ที่เรียกใช้งานได้อย่างทันใจ ถ้าชอบแนวรถหรูแฝงอารมณ์สปอร์ตต้องเลือกตัวนี้เลย ส่วนถ้าขับขี่ใช้งานทั่วไป Mercedes-Benz C 180 Exclusive ก็สามารถตอบสนองความต้องการได้เกินพอแล้ว

ทีมงาน Auto-Thailand ของสรุปแบบนี้ Mercedes-Benz C 180 Exclusive และ Mercedes-Benz C 250 AMG Dynamic รถยนต์หรูที่มาพร้อมรูปโฉมที่ทันสมัยกว่าเดิม สมรรถนะที่มีให้เลือกตามความต้องการ บวกกับชื่อชั้นที่ขับขี่ไปไหนใครๆก็ต้องเหลียวมอง รวมถึงค่าตัวที่พอจับต้องได้กับรถยนต์แบรนด์หรูระดับนี้ เรียกว่าให้มาครบทั้งภาพลักษณ์และสมรรถนะการขับขี่กับ Mercedes-Benz C-Class ใหม่