บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดประสบการณ์ใหม่สู่ความเป็นที่สุดแห่งการเดินทางกับกิจกรรม “Hyundai Veloster World Wonders 2013: Historic & Unique Press Caravan to Angkor Wat” พร้อมสัมผัสสมรรถนะความโดดเด่นของรถยนต์ “All-New Hyundai Veloster และ Veloster Sport Turbo” บนเส้นทางสู่ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณ กรุงเทพฯ – เสียมเรียบ กัมพูชา
ขอบคุณภาพ : SpeedX TV
โดยการเดินทางในครั้งนี้เริ่มออกสตาร์ทกันที่โชว์รูมและสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของฮุนได ถนนวิภาวดี ในคาราวานทดสอบจะมีรถยนต์ Hyundai Veloster ทั้งหมด 5 คัน แบ่งเป็นรุ่น Veloster Sport Turbo 2 คัน อีก 3 คันเป็นรุ่น Veloster ตัวเครื่องยนต์ธรรมดา และยังมีรถในคาราวานอีก 4 คัน ที่มีทั้ง Hyundai H1 และ Hyundai Grand Starex ไว้ผลัดเปลี่ยนสำหรับผู้ที่ไม่ได้ขับขี่ในการเดินทาง


All-New Hyundai Veloster คือผลงานที่ต่อยอดมาจาก Concept Car ที่มีชื่อว่า Hyundai HND-3 ที่เผยโฉมในงาน Seoul Motor Show ปี 2007 ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์นวัตกรรมครั้งแรกของโลกที่ประสานความเป็นรถสปอร์ตและความสะดวกสบายสไตล์รถซีดานเป็นหนึ่งเดียวด้วยรูปแบบ 2 + 1 ประตู
คำว่า “Veloster” (มาจากคำว่า Velocity หมายถึงความเร็ว และคำว่า Roadster หมายถึง รถสปอร์ต 2 ที่นั่ง) และเมื่อรวมกันแล้ว ย่อมมีความหมายว่า “ความสนุกเร้าใจและการขับขี่ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล” โดยเฉพาะกับการออกแบบประตู แบบ 2 + 1 และเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวรอบคันสะท้อนแนวทางการออกแบบ “คิดใหม่เพื่อสิ่งที่เหนือกว่า”
Hyundai Veloster มีมาให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Veloster และ Veloster Sport Turbo โดยในรุ่น Veloster มาพร้อมเครื่องยนต์ 1600 ซี.ซี. ให้กำลังสูงสุด 130 แรงม้า ที่ 6,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 157 นิวตัน-เมตร ที่ 4,850 รอบต่อนาที ส่วน Veloster Sport Turbo มาพร้อมเครื่องยนต์ 1600 ซี.ซี. เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 186 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 265 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 – 4,500 รอบต่อนาที ทั้งสองรุ่นส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift


ทีมงาน Auto-Thailand ขับขี่ในเที่ยวขาไปกับ Hyundai Veloster รุ่นเครื่องยนต์ธรรมดา โดยมีผู้ร่วมเดินทางอีก 2 ท่าน หลังจากออกเดินทางช่วงแรกก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะหลุดจากการจราจรที่ค่อนข้างติดขัดของเมืองหลวง คณะเดินทางมุ่งหน้าสู่อรัญประเทศ สระแก้ว เพื่อข้ามพรมแดนไปยังประเทศกัมพูชา ระหว่างการเดินทางในช่วงนี้ก็พอได้ลองสัมผัสกับสมรรถนะของ Hyundai Veloster กันพอสมควร
ด้วยรูปโฉมของ Hyundai Veloster ในแน่นอนออกแบบมาในแนวสปอร์ต แต่ว่าจากการได้เข้าไปสัมผัสภายในห้องโดยสารแล้ว รูปแบบ 2+1 ประตูนั้นก็ยังให้ความกว้างขวางในการโดยสารทั้งในด้านหน้า หรือในการนั่งโดยสารด้านหลังที่ให้ความรู้สึกไม่ได้แตกต่างจากการนั่งโดยสารในรถยนต์ซีดาน 4 ประตูเลย จะมีความไม่สะดวกเล็กน้อยก็ตรง ถ้านั่งโดยสารกันแบบ 4 ท่านที่ด้านหลังก็จะเข้าออกตัวรถไม่สะดวกเนื่องจากด้านหลังจะมีประตูเดียวทางฝั่งผู้โดยสาร ส่วนทางฝั่งของผู้ขับขี่จะไม่มีประตู แต่ต้องอาศัยการพับเบาะช่วยในการเข้าออก อย่างว่าครับได้อย่างเสียอย่าง
ด้านการขับขี่จากการที่ทีมงาน Auto-Thailand ได้ลองสัมผัสกันแบบขับข้ามประเทศ ถือว่ากับการเดินทาง 3 ท่าน พละกำลังก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง และในตอนที่ขับขี่นองเมืองที่ต้องใช้ความเร็วก็สามารถเรียกพละกำลังออกมาใช้งานได้อย่างค่อนข้างทันใจ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเทอร์โบมาช่วย


อีกเรื่องที่ถือว่ามีความประทับใจคือ ระบบช่วงล่างที่ให้การขับขี่ที่มาในแนวสปอร์ต หนึบแน่น แต่ก็ไม่ถึงกับออกแนวกระด้าง พวงมาลัยที่ให้น้ำหนักและการควบคุมที่คมใช้ได้ เมื่อถึงด่านข้ามแดนคณะเราก็ได้รับความสะดวกสบายจากการจากการประสานงานด้านพิธีการของผู้นำทางจากทรานเอเซียรูทผ่านเข้าสู่ประเทศกัมพูชาแบบสบายๆ
เมื่อออกจากด่านเรียบร้อย สิ่งแรกที่จะต้องปรับตัวกันคือ การขับขี่ในประเทศกัมพูชาจะขับเลนขวาแซงซ้าย แต่เนื่องจากคณะเรามากันเป็นคาราวานจึงไม่ใช่ปัญหาในการเดินทาง โดยจุดแรกที่เราจะไปแวะชมก็คือ โตนเลสาบ ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุด








ทะเลสาบเขมร หรือ โตนเลสาบ เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บริเวณตรงกลางของประเทศกัมพูชา มีพื้นที่ ประมาณ 7,500 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 7 เท่า ความลึกโดยเฉลี่ย อยู่ที่ 10 เมตร ทะเลสาบเขมรเกิดจากแม่น้ำโขง ซึ่งแม่น้ำโขงไหลผ่านมีความยาวถึง 500 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดของกัมพูชา ได้แก่ กำปงธม กำปงชนัง โพธิสัตว์ พระตะบอง และเสียมราฐ เป็นทะเลสาบที่มีปลาน้ำจืดชุกชุมมากแห่งหนึ่งประมาณ 300 ชนิด จึงมีชาวกัมพูชาเป็นจำนวนมากที่ประกอบอาชีพประมงในบริเวณทะเลสาบแห่งนี้
เริ่มวันที่สอง วันนี้ทีมงาน Auto-Thailand ได้ไปนั่งโดยสารในรถ Hyundai H1 เรียกว่าวันนี้เที่ยวกันแบบ VIP โดยสถานที่แรกที่เราไปแวะชมคือ ปราสาทบันทายศรี
ปราสาทบันทายศรี เป็นปราสาทหินที่ถือได้ว่างดงามอีกแห่งหนึ่งในประเทศกัมพูชา มีความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ และเป็นปราสาทแห่งเดียวที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 1000 ปี แต่ลวดลายก็ยังมีความคมชัด เหมือนกับสร้างเสร็จใหม่ ๆ





ปราสาทบันทายศรีหรือเรียกตามสำเนียงเขมรว่า บันเตียไสร หมายถึง ปราสาทสตรีหรือป้อมสตรี อยู่ห่างจากตัวเมืองเสียมเรียบไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร ใกล้กับแม่น้ำเสียมเรียบในบริเวณที่เรียกว่า อิศวรปุระ หรือเมืองของพระอิศวร
ปราสาทแห่งนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวรภายใต้พระนามว่า "ตรีภูวนมเหศวร" หรือ "ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสาม" ปราสาทมีขนาดเล็ก สร้างด้วยหินทรายสีชมพูซึ่งหายาก สร้างขึ้นเมื่อเดือนเมษายน - พฤษภาคม พ.ศ. 1510 โดยพราหมณ์ยัชญวราหะ ในตอนปลายของสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 (หรือพระเจ้า ชัยวรมันที่ 4 พ.ศ. 1487 - 1511) และเสร็จในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ. 1511-1554)
จากนั้นเดินทางต่อไปยังปราสาทตาพรหม ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 เป็นปราสาทหินในยุคท้ายๆ ของอาณาจักรเขมร ปราสาทเหล่านี้ถือว่าเป็นสถานที่ของพระพุทธศาสนาที่สมัยนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เพราะสมัยนั้นกษัตริย์ที่สนับสนุนให้มีการสร้างปราสาทนี้เป็นวัดในศาสนาพุทธ การดูแลปราสาทต่างๆนั้นรัฐบาลได้ทำการตัดต้นไม้ออกจากปราสาทอื่นๆ เพราะกลัวว่าประสาทจะล้มลงหากต้นไม้ใหญ่โตมากๆ แต่สำหรับปราสาทตาพรมนั้น รัฐบาลมีแนวคิดที่จะคงต้นไม้ไว้เหมือนโบราณที่มีต้นไม้ขึ้นบนปราสาทแทบทุกปราสาทจึงกลายเป็น ลักษณะเด่นของปราสาทตาพรหมคือมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นคลุมตัวปราสาทเป็นจำนวนมาก ไปในตอนหลัง



ปราสาทตาพรมนั้น ในรัชกาลที่กษัตย์นิยมฮินดูได้อำนาจคือนจากกษัตริย์นับถือพุทธ จึงให้มีการทำลาย และมีร่องรอยการทำลายมากที่สุด เพราะความต่างของการนับถือศาสนา ปราสาทตาพรมจึงไม่หลงเหลือศิลปะให้พวกเราได้เห็นมากนัก และที่นี้ยังเป็นสถานที่ใช้ถ่ายทำหนังหลายเรื่อง เช่น ทูมไรเดอร์ เจมส์บอนด์ อีกด้วย
แล้วมาต่อกันที่...ปราสาทบายน ที่เป็นปราสาทหินของอาณาจักรเขมร อยู่ในบริเวณของใจกลางนครธม สร้างขึ้นเป็นวัดประจำสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก่อสร้างในราวปี พ.ศ. 1724-พ.ศ. 1763 หลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7ทรงได้ชัยชนะจากการขับไล่กองทัพอาณาจักรจามปา นับเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความซับซ้อนทั้งในแง่โครงสร้างและความหมาย เนื่องจากผ่านความเปลี่ยนแปลงด้านศาสนาและความเชื่อมาตั้งแต่คราวนับถือเทพเจ้าฮินดู และพุทธศาสนา




ปราสาทบายนมี 3 ชั้น ชั้นแรกมีประตู 8 บาน และระหว่างแต่ละประตูจะมีภาพนูนต่ำประดับอยู่บนกำแพง ซึ่งนับว่ามีความงดงามมากที่สุด อาคารมีลักษณะพิเศษ เนื่องจากส่วนของหอเป็นรูปหน้าหันสี่ทิศ จำนวน 49 หอ ปัจจุบันคงเหลือเพียง 37 หอ ลักษณะโดยทั่วไปจะมี 4 หน้า 4 ทิศ แต่บางหออาจมี 3 หรือ 2 แต่บริเวณศูนย์กลางของกลุ่มอาคาร จะมีหลายหน้า
และปิดท้ายด้วยการแวะชมโบราณสถานที่ติดอันดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และถือเป็นไฮไลท์ของการเดินทางครั้งนี้เลยก็ว่าได้ นั้นคือ นครวัด เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ ชาวจามได้บุกรุกขอม ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระองค์จึงสร้างเมืองนครธม และ ปราสาทบายน ห่างจากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม
นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร



ในปี ค.ศ. 1586 (พ.ศ. 2129) ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดสู่สายตาชาวโลกนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา ที่จริงชาวกัมพูชาไม่เคยละทิ้งนครวัดไปเพราะหลังจากมีการย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่พนมเปญแล้ว ชาวบ้านก็ได้เขาไปตั้งรกรากภายในเขตนครวัดเรื่อยมา ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์ โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงากเกนคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง




ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี
หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาทนครวัด
ตลอดการเดินทางในครั้งนี้ ทีมงาน Auto-Thailand อยากบอกว่าเป็นการเดินทางที่ใครๆก็สามารถมาได้ โดยจากเมื่อก่อนจะมีความเชื่อว่าการจะขับรถข้ามมาประเทศกัมพูชาจะต้องเป็นพวกรถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่ในปัจจุบันจากการเดินทางเข้ามา สภาพเส้นทางและภูมิประเทศก็มีความใกล้เคียงกับบ้านเมืองเรา เรียกว่าเป็นประสบการณ์การขับขี่ข้ามประเทศที่ประทับใจอีกครั้งหนึ่งเลยทีเดียวกับ Hyundai Veloster

ขอบคุณ : บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด