auto-thailand.com
Auto-Thailand : เมื่อจะกล่าวถึงรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หลายคนคงต้องนึกถึงรถยนต์ในกลุ่มไฮบริดที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่โดยมากก็จะถูกติดตั้งมาในรถยนต์ที่มีราคาค่าตัวเกินล้านบาท ซึ่งก็ต้องยอมรับอีกว่าเป็นราคาค่าตัวที่ค่อนข้างจะจับต้องยากไปสักหน่อย จนในที่สุดค่ายฮอนด้าก็ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการยานยนต์บ้านเรา ด้วยการเปิดตัว Honda Jazz Hybrid รถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของกลุ่มซับคอมแพ็คที่เปิดราคาเพียง 768,000 บาท แน่นอนว่า Honda Jazz Hybrid กับราคาที่ใครๆก็เป็นเจ้าของได้ไม่ยากนั้น ทำให้ได้รับความสนใจและสอบถามถึงข้อมูลการขับขี่เข้ามามาก ทีมงาน Auto-Thailand จึงถือโอกาสในการนำ Honda Jazz Hybrid มาทำการทดสอบในแบบเน้นการใช้งานในชีวิตประจำวัน เมื่อมองรูปโฉมโดยรวมของ Honda Jazz Hybrid ไม่ได้ต่างไปจากรุ่นก่อน ได้รับการปรับโฉมบ้างเล็กน้อย โดยออกแบบให้กันชนหน้าในส่วนด้านข้างเรียบไม่มีไฟสปอร์ตไลต์ แต่มีช่องให้ลมผ่านตรงกลาง กระจังหน้าใหม่เคลือบใสดูทันสมัยกับไฟหน้าโคมสีอมฟ้าสไตล์ไฮบริด พร้อมล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ลาย 7 ก้าน และกันชนหลังพร้อมช่องแนวนอนกับแผงไฟทับทิม โดดเด่นด้วยไฟท้ายขาว คิ้วโครเมียมที่ฝากระโปรงหลัง และสัญญาลักษณ์ Hybrid เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น ภายในห้องโดยสาร Honda Jazz Hybrid มองผ่านๆอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะเหมือนกับ Honda Jazz ทั่วไป จะแตกต่างกันที่ปุ่มควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติจะเป็นแบบปุ่มกด และมีหน้าจอดิจิตอลเล็กๆ บอกอุณหภูมิ อีกส่วนที่เห็นแตกต่างชัดเจนคือ แผงหน้าปัดจะมีหน้าจอแสดงข้อมูล MID ซึ่งแสดงข้อมูลสถานะการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมมาตรวัดเรืองแสงสีน้ำเงินอมฟ้า ที่จะสามารถเปลี่ยนสีตามลักษณะการขับขี่ เพื่อช่วยในการขับขี่แบบประหยัดน้ำมันอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมกับปุ่ม ECON ที่ด้านขวาของคอนโซลหน้า เพื่อช่วยเสริมการขับขี่ที่ประหยัด และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่มีสวิทซ์ควบคุมเครื่องเสียงมาให้เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ส่วนเบาะนั่งเป็นแบบอัลตรา ซีท ปรับระดับได้ เบาะหลังสามารถพับได้ ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์เช่นเดียวกับ Honda Jazz รุ่นอื่นๆ Honda Jazz Hybrid ได้ผสมผสาน 2 เทคโนโลยีที่มีจุดเด่นไม่เหมือนใคร ประการแรก เทคโนโลยีพื้นตัวถังที่มีการจัดวางถังน้ำมันไว้ตรงกลาง ซึ่งเริ่มมีการนำมาใช้ตั้งแต่ฮอนด้า แจ๊ซรุ่นแรก ประการที่สอง การออกแบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดบางและชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะหรือ IPU ที่มีขนาดกะทัดรัด และน้ำหนักเบา ส่งผลให้ตัวรถสามารถตอบสนองการใช้งานพื้นที่ใช้สอยได้อย่างเต็มที่ สำหรับระบบไฮบริดของ Honda Jazz Hybrid เป็นแบบคู่ขนาน (Parallel Hybrid) ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์เป็นขุมพลังหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะคอยส่งกำลังมาช่วยเสริม เนื่องจากรูปแบบของระบบไฮบริดแบบคู่ขนานไม่ซับซ้อน จึงทำให้มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มสมรรถนะการขับขี่และให้ความประหยัดเชื้อเพลิง ชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ IPU ขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา จัดวางไว้บริเวณพื้นห้องเก็บสัมภาระด้านหลังของตัวรถ ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ของการจัดวางเบาะนั่งในรูปแบบเดียวกับแจ๊ซรุ่นเบนซิน ซึ่งสามารถปรับระดับได้หลากหลายรูปแบบ มีพื้นที่ใช้สอยตอบสนองการใช้งานและจัดเก็บสัมภาระได้อย่างเต็มที่ Honda Jazz Hybrid มาพร้อมกับการทำงานผสานกันของมอเตอร์ไฟฟ้าไฮบริดแบบ IMA เข้ากับเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.3 ลิตร เครื่องยนต์จะให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 121 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 14 แรงม้า ที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 78 นิวตัน-เมตร ที่ 1,000 รอบต่อนาที โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน และเสริมแรงด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกตัวและเร่งแซง เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำคงที่ เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และเข้าสู่ EV Mode โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว ช่วงที่ลดความเร็วหรือเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน ระบบจะนำพลังงานที่สูญเสียไปในขณะเบรกมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งกลับคืนสู่แบตเตอรี่ไฮบริดเพื่อเก็บพลังงานไว้ใช้ต่อไป และเมื่อรถหยุด เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานอัตโนมัติและเข้าสู่โหมด Idling Stop เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน และลดมลพิษ ช่วงทดสอบ Honda Jazz Hybrid กับทีมงาน Auto-Thailand แรกสัมผัสกับ Honda Jazz Hybrid เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารในตำแหน่งผู้ขับขี่ บรรยากาศในห้องโดยสารรวมถึงการวางตำแหน่งอุปกรณ์โดยส่วนใหญ่ก็ยังเหมือนเดิม จะมีดูทันสมัยขึ้นมาสมกับเป็นรถยนต์ไฮบริดก็ตรงมาตราวัดความเร็วที่มีสีสันสะดุดตา แสดงข้อมูลที่จำเป็นในการขับขี่ได้อย่างครบถ้วน แถมยังเปลี่ยนสีบอกลักษณะการขับขี่ของเราได้อีกด้วย คอนโซลกลางโดยเฉพาะในส่วนของระบบปรับอากาศก็จะมีหน้าจอดิจิตอลแสดงอุณหภูมิชัดเจน สำหรับเบาะนั่งผู้ขับขี่ก็ให้ความกระชับนั่งสบาย พื้นที่ด้านหน้าค่อนข้างโปร่ง ส่วนด้านหลังก็ยังคงใช้งานได้อเนกประสงค์เช่นเดิมจากการที่สามารถพับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานได้อีกพอสมควรเลยทีเดียว ปรับแต่งท่านั่งอุปกรณ์ต่างๆเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทาง ความรู้สึกแรกก็สามารถสัมผัสได้ถึงพละกำลังในการออกตัวที่เรียกว่าทันอกทันใจที่มาจากการทำงานผสานกันระหว่างเครื่องยนต์ขนาดแค่ 1300 ซีซี.และมอเตอร์ไฟฟ้าที่เมื่อรวมกันแล้วสามารถที่จะลากตัวถัง Honda Jazz Hybrid ไปข้างหน้าได้อย่างสบาย ทีมงาน Auto-Thailand ได้ทดลองที่จะใช้งาน EV Mode ในการขับขี่ซึ่งต้องบอกว่าค่อนข้างจะต้องใช้ความคุ้นชินกับการควบคุมความเร็วรถ และคันเร่งให้นิ่งพอสมควร โดยความเร็วที่เราสามารถเข้า EV Mode ได้อยู่ที่ความเร็วคงที่ประมาณ 40-50 กม./ชม. เรียกว่าช่วงนี้เครื่องยนต์จะดับ และใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว หรือพูดง่ายๆ ว่า Honda Jazz Hybrid จะต้องออกตัวด้วยพละกำลังจากเครื่องยนต์เสมอ ไม่สามารถออกตัวด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว หรือ EV Mode ได้ ส่วนในการขับขี่ในรอบต่ำจนไปถึงรอบกลาง เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าจะส่งกำลังช่วยกันอย่างเต็มที่ อยากบอกว่าข้อดีของรถไฮบริดก็คือพละกำลังในช่วงการเร่งแซง หรือคิกดาว์น ที่จะได้กำลังแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยทำให้มีอัตราเร่งที่ดีกว่ารถทั่วไปในพิกัดเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว พูดง่ายๆว่าไม่ต้องรอรอบเหมือนเครื่องยนต์ธรรมดา มาถึงจุดเด่นของ Honda Jazz Hybrid ที่มาในแนวทางเน้นความประหยัด ซึ่งระหว่างที่ขับถ้าสังเกตที่มาตรวัดจะเรืองแสงจะแสดงสีสันแตกต่างกันไป อย่างช่วงที่รถติด หรือยกคันเร่ง จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวที่ประหยัดสุด แต่ถ้าค่อย ๆ เร่งความเร็วจะกลายเป็นสีฟ้าแทน ซึ่งยังถือว่าขับขี่ประหยัด และสุดท้ายสีน้ำเงิน เป็นการขับปรกติที่กินน้ำมันมากสุด ตรงนี้เป็นผู้ช่วยในการวัดพฤติกรรมของผู้ขับขี่ได้อย่างดี และยังมีปุ่ม E-Con เพื่อให้ช่วยการขับแบบประหยัด เมื่อใช้โหมดดังกล่าวแล้วเครื่องยนต์กับเกียร์จะปรับการทำงานให้สอดคล้องกัน รวมถึงระบบปรับอากาศด้วย ซึ่งความรู้สึกก็พอรับรู้ได้ว่าการลากรอบค่อนข้างช้าลงกว่าเดิม ในช่วงที่ยกคันเร่งกับการเบรก เครื่องจะตัดการทำงาน พร้อมกับไฟจะย้อนกลับเข้าแบตเตอรี่ไฮบริด เพื่อเก็บไว้ใช้งานต่อไป อีกระบบที่มาช่วยในการขับขี่และช่วยให้ประหยัด แถมยังลดมลพิษอีกทาง คือ Idling Stop จะทำงานอัตโนมัติเมื่อรถหยุด เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานอัตโนมัติ ซึ่งบางทีดูจะบ่อยเกินความจำเป็น และบางครั้งไปดับตอนที่รถติดบนทางชันก็ทำให้ลุ้นในการขับขี่อยู่เหมือนกัน แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ระบบไม่ทำงาน เนื่องสภาพแวดล้อม อย่างเช่นอุณหภูมิทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารอาจจะร้อน ระบบปรับอากาศทำงานเครื่องยนต์ก็จะติดตามปรกติ ถึงตรงนี้ในความคิดของทีมงาน Auto-Thailand ขอแนะนำทางฮอนด้าน่าจะมีปุ่มเปิด-ปิดระบบ Idling Stop มาให้ด้วย ในเรื่องของการขับขี่ ตลอดการเดินทางการควบคุมพวงมาลัยถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ไม่หนักหรือเบาจนเกินไป สามารถให้ความมั่นใจได้ทั้งบนเส้นทางปรกติ หรือแม้ในทางโค้งก็ยังควบคุมได้ สำหรับความรู้สึกในการขับขี่ Honda Jazz Hybrid ก็ให้การขับขี่ที่ออกไปในแนวนุ่มหนึบ การกระจายน้ำหนักทำได้ดี น่าจะมาจากการที่มีน้ำหนักของอุปกรณ์ไฮบริดเพิ่มเข้ามาทำให้บาลานซ์ตัวรถดีขึ้น แต่สำหรับบางคนอาจจะรู้สึกค่อนข้างกระด้างไปสักหน่อย อันนี้ก็ต้องแลกกับสมรรถนะการยึดเกาะถนนที่ทำให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจเพิ่มขึ้น ส่วนระบบเบรกของ Honda Jazz Hybrid น้ำหนักการเหยียบแป้นเบรกที่กดแล้วนุ่มเท้าดี ไม่ลึกเกินไป สามารถชะลอความเร็วและหยุดความเร็วรถได้อย่างมั่นใจ ด้านอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่หลายคนตั้งความหวังกับรถยนต์ไฮบริดว่าจะต้องให้ตัวเลขที่ประหยัดมากกว่ารถทั่วไป ขอบอกว่า เท่าที่ทดสอบขับขี่และสังเกตมา โดยเฉพาะในการขับขี่ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องอยู่ที่ประมาณ 2000 รอบ ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงนัก ตลอดการทดสอบก็มีทั้งการใช้งานในสภาพการจราจรที่ติดขัด บางช่วงก็ออกไปทดสอบวิ่งชานเมืองได้ใช้ความเร็วสูงๆบาง อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่วัดได้จากหน้าปัดจะอยู่ที่ประมาณ 15 กม./ลิตร ในตอนที่ขับขี่ในเมือง และ 18 กม./ลิตร บวกลบในตอนที่ขับขี่นอกเมืองที่เส้นทางโล่งๆ ยาวๆ จะเห็นว่าตัวเลขที่ออกมาก็น่าพอใจในระดับหนึ่ง ถ้านำไปเทียบกับ Honda Jazz รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ที่ช่วยเซฟค่าเชื้อเพลิงไปได้พอสมควร เรียกว่า Honda Jazz Hybrid เหมาะกับผู้ใช้รถที่ต้องการรถยนต์ขนาดซับคอมแพ็คที่เน้นความประหยัด แต่ไม่อยากพึงพาการติดตั้งระบบแก็ส แถมยังเป็นการช่วยลดมลพิษอีกทางด้วย ทีมงาน Auto-Thailand ขอสรุปแบบนี้ Honda Jazz Hybrid ด้วยความเหมือนที่แตกต่างจากเครื่องยนต์ระบบไฮบริด ทำให้รถสามารถมีพละกำลัง อัตราเร่ง รวมถึงการออกตัวที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ แต่อาศัยกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทันสมัยช่วยเสริมแรงที่ให้ความประหยัดทั้งยังช่วยรักษ์สิ่งแวดล้อม และเมื่อมาบวกกับรูปโฉมที่โดนใจ ใช้งานได้อเนกประสงค์กว่ารถซีดาน ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้จบที่ค่าตัว 7 แสนกลาง ถือว่าเป็นรถยนต์ไฮบริดที่อยากจะบอกว่า “ใครๆ ก็ไฮบริดได้” จริงๆนะครับ
รับจองฮอนด้าป้ายแดงทุกรุ่น พร้อมรับโปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษ @ทางเรายินดีมอบข้อเสนอสุดพิเศษแคมเปญโดนใจ @รับรถรวดเร็วทันใจ จองก่อนขับก่อน รับเทิร์นรถเก่าทุกรุ่นทุกยี่ห้อในราคาที่คุณพอใจ @ติดปัญหาตรงไหน ติดขัดเรื่องอะไรโทรปรึกษา ทุกปัญหามีทางแก้ไข @ต่างจังหวัดซื้อได้บริการเซ็นไฟแนนซ์ถึงบ้าน กลัวไม่ผ่านโทรปรึกษา ดันให้ทุกเคส @บริษัทยินดีคืนเงินจองหากผลไฟแนนซ์ไม่ผ่านการอนุมัติ! เซลส์ ป๊อบ : Mobile: 092-517-5552 เว็บไซต์ : http://www.honda2day.com