หลังจากฤดูร้อนที่อบอ้าวและแห้งแล้งผ่านพ้นไป ฤดูฝนเวียนกลับมาอีกครั้งพร้อมความเย็นสบายที่หลายคนชื่นชอบ แต่การขับขี่บนท้องถนนในช่วงหน้าฝนอาจทำให้เกิดสถานการณ์ที่ผู้ขับขี่บางคนอาจคาดไม่ถึงเนื่องจากเราคุ้นชินกับพื้นถนนที่แห้งและมีการยึดเกาะที่ดีกว่าในช่วงหน้าร้อน ขณะเดียวกัน เราอาจคิดว่ารถมีความพร้อมในการใช้งานอย่างเต็มที่แล้ว แต่แท้จริงแล้วอาจยังไม่พร้อมสำหรับการขับขี่ในหน้าฝนก็เป็นได้ ขอนำเสนอเคล็ดลับการเตรียมรถให้พร้อมสำหรับการขับขี่ในช่วงหน้าฝนมาฝากกัน
ใบปัดน้ำฝน – ตรวจสอบใบปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ ควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนใหม่ถ้ามีเสียงดังระหว่างที่ใบปัดน้ำฝนทำงานหรือทิ้งคราบน้ำไว้บนกระจกหน้า ใบปัดน้ำฝนใหม่ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนบนกระจกหน้า และเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่เมื่อฝนตก เชฟโรเลตแนะนำว่าควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนปีละครั้ง
ยาง – ตรวจสอบว่ายางทุกเส้น รวมถึงยางอะไหล่มีดอกยางพร้อมใช้งาน หากดอกยางสึกและชำรุดจะทำให้สูญเสียการทรงตัว ไม่มีการยึดเกาะถนน และลดประสิทธิภาพการเบรก ขณะเดียวกัน ยังอาจทำให้เกิดการลอยตัวหรือเหินน้ำ (อ่านข้อมูลเกี่ยวกับการเหินน้ำเพิ่มเติมด้านล่าง) นอกจากนี้ แรงดันลมยางก็มีความสำคัญเช่นกัน รถแต่ละรุ่นมีแรงดันลมยางที่แตกต่างกัน ควรตรวจสอบคู่มือใช้งานเพื่อการเติมแรงดันลมยางที่เหมาะสม
น้ำมันเครื่อง – ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นประจำและตามระยะเวลาการตรวจเช็ครถที่กำหนด น้ำมันเครื่องเก่าหรือที่ใช้งานมานานแล้วอาจมีความชื้นและทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพการหล่อลื่น ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องระหว่างหน้าฝนเพื่อกำจัดความชื้นและปกป้องไม่ให้เครื่องยนต์เสียหาย
น้ำมันเบรก – การเปลี่ยนน้ำมันเบรกอาจไม่บ่อยเท่าน้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกในช่วงหน้าฝน เนื่องจากน้ำมันเบรกเก่าหรือที่ใช้งานมานานแล้วอาจมีความชื้นซึ่งจะลดประสิทธิภาพการเบรก และอาจสร้างความเสียหายต่อชิ้นส่วนในระบบเบรก
น้ำยาเคลือบกระจก – การใช้น้ำยาเคลือบกระจกจะช่วยลดปริมาณหยดน้ำที่เกาะบนกระจกหน้าลงได้ น้ำยาเคลือบกระจกที่มีประสิทธิภาพจะสร้างชั้นเคลือบบนพื้นผิวกระจกหน้าซึ่งทำให้หยดน้ำไม่เกาะติด และจะไหลออกเป็นเม็ดไปพร้อมกับลม
ดูแลรักษาสีรถ – หลังจากขับรถท่ามกลางสายฝน ควรล้างรถเพื่อขจัดคราบฝุ่นผงและสิ่งสกปรกต่างๆ ที่สะสมอยู่บนสีรถและอาจทำให้สีเสื่อมสภาพ ควรใช้น้ำสะอาดล้างรถหลังจากขับรถท่ามกลางสายฝน แต่ถ้าไม่สามารถล้างรถได้ทันที ควรล้างรถอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อรักษาสีรถให้ใหม่อยู่เสมอ
เคล็ดลับขับขี่อย่างปลอดภัย เมื่อฝนตกและถนนเปียกลื่น
นอกจากการเตรียมรถให้พร้อมในช่วงหน้าฝน โดยนำรถเข้าศูนย์บริการและรับข้อเสนอสุดพิเศษจากเชฟโรเลต เทคนิคการขับขี่ที่ถูกต้องยังมีความสำคัญเพื่อให้ทุกการเดินทางในช่วงหน้าฝนมีความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการขับขี่ของเชฟโรเลตแนะนำเคล็ดลับการขับขี่ดังนี้
เปิดไฟหน้า
ไฟหน้าช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้ทั้งตัวคุณและผู้ขับขี่รถคันอื่นได้มองเห็นในสภาพแสงน้อย ไม่ควรใช้ไฟฉุกเฉินยกเว้นเมื่อจอดรถและต้องการให้รถคันอื่นหลบเลี่ยง ถ้ารถของคุณมีไฟตัดหมอก ควรเปิดใช้งาน
รักษาความเร็วที่สามารถควบคุมได้
ลดความเร็วเมื่อขับขี่บนถนนเปียกลื่น ควรแน่ใจว่าสามารถหยุดรถได้ในระยะที่มองเห็น การลดความเร็วยังช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการรถลอยตัวหรือเหินน้ำ
การขับขี่บนถนนที่มีน้ำท่วมขัง
ควรหลีกเลี่ยงการขับรถผ่านถนนที่มองไม่เห็นหรือไม่สามารถเดินผ่านได้ หรือถนนที่มีน้ำท่วมขังสูงกว่ากึ่งกลางของล้อรถ สำหรับรถเอสยูวีและรถกระบะขนาดใหญ่สามารถแล่นผ่านถนนที่มีน้ำท่วมสูงได้ แต่ควรตรวจสอบว่ารถของคุณสามารถขับขี่ผ่านระดับน้ำได้สูงเท่าใด
น้ำท่วมขังจะบดบังสิ่งที่อยู่ด้านล่าง ดังนั้น ถ้าคุณต้องขับบนถนนที่มีน้ำท่วมขังเป็นทางยาว ควรแน่ใจว่า คุณขับอยู่บนถนนและถนนไม่มีความเสียหายใดๆ หรือถนนขาด ขณะเดียวกัน ควรเพิ่มความระมัดระวังเมื่อขับขี่บนถนนที่ไม่คุ้นเคยเนื่องจากอาจมีหลุมที่ลึกเกินกว่าที่รถจะผ่านไปได้ ผู้ขับขี่สามารถจอดรถก่อนถึงบริเวณที่มีน้ำท่วมขังและสังเกตรถคันอื่นว่าสามารถขับผ่านไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
ถ้าต้องขับผ่านถนนน้ำท่วมขัง ควรขับรถบนกึ่งกลางหรือใกล้กับกึ่งกลางของถนน เนื่องจากระดับน้ำจะต่ำที่สุด ใช้เกียร์ต่ำและรอบเครื่องยนต์สูง ใช้ “เกียร์หนึ่ง” สำหรับเกียร์ธรรมดาหรือ “เกียร์ L” สำหรับเกียร์อัตโนมัติ ควรรักษาความเร็วให้คงที่และไม่เร่งอย่างรุนแรงเกินไป การลดพละกำลังของเครื่องยนต์อาจทำให้น้ำทะลักเข้าสู่ท่อไอเสียและทำให้แคททาไลติก คอนเวอร์เตอร์เสียหาย ควรระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าสู่กรองอากาศด้านหน้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นควรขับด้วยความเร็วต่ำมาก เนื่องจากถ้าน้ำเข้าท่อไอเสียหรือกรองอากาศด้านหน้าจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก
ควรขับรถเข้าสู่บริเวณน้ำท่วมด้วยความเร็วไม่เกิน 3 กม./ชม. และเพิ่มความเร็วเป็น 6 กม./ชม. เมื่อต้องขับผ่านน้ำท่วม ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นน้ำด้านหน้าและลดระดับน้ำโดยรอบห้องเครื่องยนต์ลง ช่วยลดความเสี่ยงที่น้ำจะไหลเข้าสู่ที่กรองอากาศและสร้างความเสียหายต่อระบบไฟฟ้าและชิ้นส่วนต่างๆ หากใช้ความเร็วมากกว่านี้จะทำให้น้ำไหลผ่านกระจังหน้าเข้าสู่ห้องเครื่องยนต์ได้
ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าพอสมควรหรือขับรถผ่านบริเวณที่มีน้ำท่วมขังทีละคันเพื่อป้องกันการหยุดรถกลางทาง หากรถคันหน้าชะลอความเร็ว ควรระมัดระวังว่าไม่มีรถที่ขับมาจากเส้นทางอื่นเนื่องจากคลื่นของน้ำอาจท่วมรถได้โดยเฉพาะถ้ารถคันอื่นใช้ความเร็วสูงเกินไป
เมื่อขับรถออกจากบริเวณที่มีน้ำท่วม ควรย้ำเบรกอย่างนุ่มนวลเป็นระยะ หากผู้ขับขี่มีทักษะสามารถใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกได้ เมื่อรู้สึกว่าเบรกจับตัวแล้วให้กลับมาขับตามปกติ ควรตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเศษขยะอย่างถุงพลาสติกหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ติดอยู่ที่กระจังหน้าหรือหม้อน้ำ
เมื่อต้องขับผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขัง ควรตระหนักว่าระดับน้ำที่สูง 15 ซม. จะถึงระดับใต้ท้องรถ และรถส่วนใหญ่จะเริ่มลอยน้ำในระดับน้ำที่สูง 30 ซม. ขณะที่ระดับน้ำ 60 ซม. จะพัดพารถทุกประเภทแม้กระทั่งรถอเนกประสงค์เอสยูวี ถึงแม้น้ำจะไม่ไหลแรง แต่แรงกระทำและปริมาณน้ำก็จะพัดพาตัวรถไปได้ ดังนั้นจึงไม่ควรเสี่ยงอย่างเด็ดขาด
ปิดแอร์
ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรปิดแอร์และเปิดหน้าต่าง การขับขี่บนถนนที่มีน้ำท่วมขังขณะเปิดแอร์อาจทำให้เครื่องยนต์ดับ เนื่องจากพัดลมจะทำงานและทำให้น้ำเข้าสู่เครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับ พัดลมก็จะหมุนรับเศษขยะที่ลอยมาตามน้ำซึ่งจะทำให้พัดลมเสียหายได้ นำไปสู่ปัญหาความร้อนของเครื่องยนต์ที่สูงเกินไป
ขับอย่างนุ่มนวล
ขับขี่ด้วยความนุ่มนวลและหลีกเลี่ยงการเบรกหรือหักเลี้ยวกะทันหัน ซึ่งอาจจะทำให้ตัวรถสูญเสียการควบคุม ควรเบรกก่อนเข้าโค้ง และเร่งออกอย่างนุ่มนวล
ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าพอสมควรเพื่อหลีกเลี่ยงน้ำกระเซ็นซึ่งจะทำให้ทัศนวิสัยลดลง โดยเฉพาะเมื่อต้องขับตามหลังรถคันใหญ่ ถ้าเป็นไปได้ ควรขับตามรอยยางรถคันหน้าเนื่องจากระดับน้ำจะน้อยกว่าส่วนอื่นของถนน
ควรเพิ่มความระมัดระวังอย่างมากถ้าฝนตกหลังจากถนนแห้งมานาน โดยเฉพาะเมื่อฝนตกลงมาไม่มากนัก เนื่องจากขณะถนนแห้งจะมีคราบน้ำมัน (จากท่อไอเสีย น้ำมันรั่วไหลจากรถคันอื่น และอื่นๆ) เคลือบอยู่บนพื้นผิวถนน น้ำฝนที่ตกลงมาไม่มากนักจะชะล้างคราบน้ำมันบนพื้นผิวถนน (น้ำมันมีน้ำหนักเบากว่าน้ำ) ทำให้เกิดความลื่น ซึ่งในบางกรณีอาจลื่นเหมือนพื้นน้ำแข็งจึงอันตรายอย่างมาก คราบน้ำมันดังกล่าวจะถูกชะล้างออกไปได้ต่อเมื่อฝนตกหนักเป็นเวลานาน
ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาการลอยตัวหรือเหินน้ำ
อาการลอยตัวหรือเหินน้ำเกิดขึ้นเมื่อยางรถไม่สามารถรีดน้ำระหว่างยางและพื้นผิวถนนออกได้ ซึ่งทำให้ยางใดยางหนึ่ง หรือเกือบทั้งหมดเกิดอาการ “ลอย” บนพื้นผิวน้ำ ซึ่งทำให้ยาง และตัวรถลื่นไถล
การเหินน้ำเกิดขึ้นเมื่อ:
- ยางชำรุดและดอกยางตื้นเกินไปที่จะรีดน้ำออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ขับด้วยความเร็วสูงเกินไปจนดอกยางไม่สามารถรีดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีน้ำขังบนถนนมากเกินกว่าประสิทธิภาพของดอกยาง
อาการเหินน้ำเป็นอย่างไร และควรทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการเหินน้ำ
- พวงมาลัยมีน้ำหนักเบากะทันหัน และรถไม่ตอบสนองต่อการควบคุมพวงมาลัย
- รอบเครื่องยนต์จะเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างกะทันหันในขณะที่ความเร็วรถไม่เพิ่มขึ้น โดยอาการนี้จะมาพร้อมกับการกระตุก (เนื่องจากยางสูญเสียการยึดเกาะชั่วขณะ) ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายางรถของคุณเริ่มสูญเสียการควบคุม
- ควรลดความเร็วลงด้วยการผ่อนคันเร่งแต่ไม่ควรถอนคันเร่งทั้งหมด รอให้ความเร็วลดลงและให้ยางยึดเกาะถนนอีกครั้ง
- ไม่ควรเบรก
- ไม่ควรใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติหรือครูสคอนโทรล
- ถ้าหากรถเริ่มลื่นไถล ผู้ขับขี่ควรควบคุมพวงมาลัยไปในทิศทางที่ต้องการให้รถมุ่งไปจนกว่ารถจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ ไม่ควรเบรก ไม่ควรลดความเร็ว และควรเหยียบคันเร่งด้วยน้ำหนักเบาที่คงที่สม่ำเสมอ
- การควบคุมด้วยความนุ่มนวลมีความสำคัญ