โดยปกติลมยางที่ใช้เติมยางรถยนต์ ก็คือ อากาศที่มีอยู่ทั่วๆ ไป ซึ่งมีส่วนผสมของก๊าซต่างๆ มากมายโดยเฉพาะก๊าซออกซิเจน และ ไอน้ำปะปนอยู่ เมื่อขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นระยะทางไกลๆ ยางรถยนต์จะเกิดความร้อนสะสมภายในยางสูงทำให้อากาศภายในยาง ขยายตัว ส่งผลให้ความดันลมยางเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ยางเกิดการระเบิดได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ ลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน ก็จะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ยางร้อนได้ง่าย ดังนั้น ในการขับขี่ทางไกล จึงควรเพิ่มความดันลมยางประมาณ 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้วในทุกๆ ตำแหน่งล้อเพื่อช่วยลดการบิดตัวของยาง ทำให้เกิดความร้อนในยางน้อยลง ในขณะขับขี่หากแต่ในกรณีที่ต้อง ขับขี่ในสภาพถนนที่ขรุขระมากๆ มีก้อนหิน ลูกรัง การลดความดันลมยางลงเล็กน้อย (ในขณะที่ยางยังเย็นอยู่) จะทำให้ขับขี่ได้นุ่มนวล ขึ้น และลดการกระแทกจากพื้นผิวถนนที่ขรุขระได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาวิ่งบนถนนเรียบทั่วไปก็ควรเติมลมยางให้ได้ มาตรฐานดังเดิม
นอกจากนี้ เมื่อมีการเติมลมยางจะมีไอน้ำปะปนและลอยตัวอยู่กับอากาศภายในยางรถยนต์เมื่อมีการใช้งานไอน้ำในลมยางจะระเหยไป บางส่วนจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากการบิดตัวของยาง เมื่อเราจอดรถความดันลมยางจะค่อยๆ ปรับลดลงมาสู่ระดับเดิม และลมภายใน ยางจะเย็นตัวลงไอน้ำที่ปะปนอยู่ในอากาศก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำอยู่ภายในยางรถยนต์ อาจทำให้กระทะล้อเกิดสนิมได้ซึ่งการ เปลี่ยนกระทะล้อเป็นล้ออัลลอยก็เป็นอีกวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดสนิมได้เป็นอย่างดี
ลมยางทำหน้าที่อะไร
ลมยางรถยนต์นั้นมีประโยชน์มากมายถ้าหากใช้อย่างถูกต้อง ทั้งช่วยประหยัดน้ำมันช่วยรับน้ำหนักบรรทุกของรถคุณ อีกทั้งยังช่วยให้ ประสิทธิภาพในการขับขี่ดีอีกด้วย จึงเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุให้น้อยลงการเติมลมยางน้อยกว่าความเหมาะสมนั้น มีผลทำให้อายุยาง ลดลงบริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น เกิดความร้อนสูงบริเวณไหล่ยางทำให้เนื้อยางไหม้ และโครงสร้างยางแยกตัวออกจาก กันส่งผลให้ยางบวมล่อนและระเบิด นอกจากนั้น อาจทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาด หรือหักได้ รวมไปถึงการสิ้นเปลืองน้ำมัน อีกด้วย
ส่วนการเติมลมยางที่มากเกินไปนั้น ก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน เพราะอาจทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่ายเนื่องจากพื้นที่การยึดเกาะถนนลดลง โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำเนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อยอายุยางก็จะลดน้อยลง เนื่องจากดอกยางจะสึกบริเวณ ตอนกลางมากกว่าส่วนอื่นและทำให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง ดังนั้น เราจึงควรหันมาใส่ใจ และให้ ความสำคัญกับลมยางให้มากขึ้น โดยสามารถสอบถามข้อมูลและข้อแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับลมยางได้จากบริษัทผู้ผลิตยางนั้นๆ
เช็คลมยางไม่ใช่เรื่องยาก
โดยปกติแล้ว ลมยางจะลดลงโดยตัวเองประมาณ 2 ถึง 3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วต่อเดือน ดังนั้น เราจึงควรเช็คลมยาง เป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ และยังช่วยประหยัดน้ำมันอีกด้วย ซึ่งมีวิธีง่ายๆ ดังนี้
เริ่มจากเช็คลมยางขณะที่ยางยังเย็นอยู่ โดยใช้เกจ์วัดลมวัดที่วาล์วและตรวจสอบค่าความดันลมยาง จากนั้นใช้น้ำสบู่ ตรวจสอบรอยรั่วซึม เช็ควาล์วดูว่ามีความเสียหายหรือมีรอยรั่วหรือไม่ และปิดจุกวาล์วเมื่อวัดเสร็จแล้ว สุดท้าย อย่าลืมเช็คลมยางอะไหล่ด้วย เมื่อถึงคราวจำเป็นจะได้ใช้งานได้
การเติมลมยางที่ถูกต้องนั้นทำได้อย่างไร
ลมยางจัดว่าเป็นหัวใจสำคัญของยางรถยนต์ เพราะถ้าไม่มีลมยาง ยางรถยนต์ก็ไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งการเติมลมยาง และวิธีการดูแลลมยาง มีดังนี้
1. ตรวจเช็คลมยางเป็นประจำและปรับแต่งให้ถูกต้องตามคำแนะนำในคู่มือประจำรถอย่างน้อยเดือนละครั้ง ในขณะที่ยางยังเย็นอยู่
2. ถ้าเป็นยางใหม่ ในช่วง 3,000 กิโลเมตรแรกควรเพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ เพราะโครงยางใหม่ จะมีการขยายตัวเพื่อปรับสภาพ ทำให้ความดันลมยางลดลงจากปกติได้
3. ห้ามปล่อยลมยางออกเมื่อความดันลมยางสูงขึ้นเนื่องจากความร้อนจากการใช้งาน เพราะเมื่อยางเย็นตัวลง ความดันลมยาง ก็จะกลับสู่สภาวะปกติเอง
4. ควรเปลี่ยนวาล์วและแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว
5. ตรวจเช็คและเติมลมยางอะไหล่ทุกๆ เดือน
6. ในกรณีขับรถด้วยความเร็วสูง ให้เติมลมยางให้มากกว่าปกติ 3 ถึง 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพื่อลดการบิดตัวของโครงยาง
จะเห็นได้ว่าวิธีทั้งหมดนี้เป็นวิธีง่ายๆ และไม่เสียเวลามากนัก ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและใช้ยางได้อย่างคุ้มค่า โปรดอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
หากคู่มือประจำรถหายไป ควรเติมลม ยางเท่าไหร่
อาจมีหลายท่านที่สงสัยว่าความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถยนต์ของท่านมากที่สุดนั้น ควรจะเป็นเท่าไหร่ควรจะยึดถือที่จำนวนแรงม้า หรือน้ำหนักรถเป็นเกณฑ์
คำตอบที่ถูกต้องก็คือ ให้สูบลมยางตามคู่มือรถที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์กำหนดมาแต่ถ้าไม่ทราบ หรือไม่ทราบว่าจะไปหาเกณฑ์กำหนด ได้ที่ไหนด้วยความที่เป็นรถเก่าแล้ว ให้ลองโทรศัพท์สอบถามจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ ก็ได้ อาจจะมีข้อมูลให้ทราบส่วนวิธีสุด ท้ายให้เอาลักษณะการใช้งาน และความชอบของผู้ขับรถเป็นเกณฑ์ โดยส่วนมากแล้วค่าเฉลี่ยของความดันลมยางของรถเก๋งจะอยู่ที่ ประมาณ 28-30 ปอนด์/ตารางนิ้ว และประมาณ 35-40 ปอนด์/ตารางนิ้ว สำหรับรถกระบะในสภาวะการขับขี่ทั่วไปที่ไม่บรรทุกหนักยก ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เป็นรถเก๋งให้ลองเติมลมที่ระดับ 28 ปอนด์/ตารางนิ้ว ทั้งสี่เส้นแล้วลองใช้รถดูสังเกตดูว่ามีความนุ่มนวลระดับใด ใช้งานไปได้สักหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นก็ลองเติมลมที่ระดับ 30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ทั้งสี่เส้นแล้วสังเกตดูความแตกต่างว่ามีความแข็งกระด้าง ในการขับขี่มากขึ้นหรือไม่ หรือเวลาเบรกสามารถหยุดได้ดีหรือไม่ถ้ารู้สึกว่าแข็งกระด้างไป ก็ลองลดลมยางลงมาเหลือ 29 ปอนด์/ ตารางนิ้ว ทำอย่างนี้แล้วลองสังเกตดู ท่านก็จะได้ใช้ยางที่เติมลมเหมาะกับสภาพการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ในการตรวจเช็คและปรับแต่งลมยางนั้น ให้ทำเมื่อยางยังเย็นหรือทำในตอนเช้าก่อนใช้งานด้วยเกจ์วัดลมที่ได้มาตรฐาน อันเดียวกันเท่านั้น จึงจะได้ค่าแรงดันลมยางที่ถูกต้อง
การเติมลมไนโตรเจน
ในปัจจุบันได้มีการนำก๊าซไนโตรเจนมาใช้เติมยางรถยนต์แทนอากาศที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ด้วยคุณสมบัติของก๊าซไนโตรเจนที่เป็นก๊าซที่มี ขนาดโมเลกุลใหญ่กว่า และมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาน้อยกว่าก๊าซออกซิเจน เมื่อใช้เติมเข้าไปในยางรถยนต์แทนอากาศปกติ จะมีข้อดีดังนี้
- การซึมออกของลมยางลดลง จึงไม่ต้องเติมลมยางบ่อยๆ
- ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของโครงยางและกระทะล้อ
- คงความนุ่มนวลของยางแม้วิ่งระยะทางไกล เนื่องจากการขยายตัวของก๊าซไนโตรเจนมีต่ำ
อย่างไรก็ตาม แม้การเติมลมยางด้วยก๊าซไนโตรเจนจะช่วยให้ไม่ต้องเติมลมยางบ่อยๆ แต่ขอแนะนำให้ตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจในระหว่างการใช้งาน