“ร้อนแรง” และการแข่งขันค่อนข้างสูงสำหรับรถยนต์ประเภทคอมแพ็คท์ซีดาน แต่ละเจ้าเน้นจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะรุ่นที่เรามีโอกาสได้ลองขับกันนี้ก็ถือว่า เป็นรถที่มีจุดเด่นตรงกับแทรนด์ของผู้ใช้รถในยุคปัจจุบันที่เน้นในเรื่องของความประหยัด “โตโยต้า พริอุส” เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นมาตอบโจทก์ความต้องการของผู้ใช้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งรุ่นก่อนหน้านี้เรามีโอกาสไปทดลองขับกันถึง เชียงราย ที่มีสภาพเส้นทางคดโค้ง เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่คลายความกังวลลงไปได้ก็คือเรื่องของช่วงล่างที่มีการพิสูจน์มาแล้ว ส่วนเรื่องเครื่องยนต์ และความประหยัดแม้จะขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นหลัก แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือการออกแบบระบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์กับไฟฟ้าที่เรียกว่า “ไฮบริด” ก็ช่วยเซฟค่าใช้จ่ายในกระเป๋าไปได้เยอะ การเทสต์ พริอุส ในครั้งนี้ มีให้เห็นกันแบบ “ครบสูตร” ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมือง ที่สามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ โหมด EV หรือว่าการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าอย่างเดียวในขณะที่การเคลื่อนที่เป็นไปอย่างช้าๆ ความเร็วไม่เกิน 40 กม/ชม. การเดินทางไกล ก็มีให้เลือกใช้ทั้งโหมด ECO หรือว่า โหมดประหยัด เน้นการขับที่ไปแบบไม่รีบร้อน และโหมดเพาเวอร์ เรียกกำลังม้าลงพื้นได้อย่างครบถ้วนเต็มกำลัง สำหรับการเดินทางทดลองขับรถยนต์ โตโยต้า พริอุส ใหม่นี้เริ่มต้นจาก โรงแรมเรเนซอง ราชดำริ ไปถึงพัทยา ซึ่งถือว่าเป็นทริปที่ไม่ไกล แต่ช่วงแรกเป็นการขับรถในเมืองดูประสิทธิภาพการใช้งานกันก่อนโดยดูเรื่องความคล่องตัว และความประหยัดในโหมดของการใช้งานตามสภาพการจราจรที่ติดขัด ก่อนจะยิงยาว ไปออกสายมอเตอร์เวย์ ซึ่งจะใช้ความเร็วได้ตามสมควร ถึงพัทยาก็ช่วงบ่ายแก่ๆ แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นถึงจะเดินทางกลับ ได้ทดลองขับ ดูการใช้งานกันอีกรอบ Exterior รูปทรงพริอุส อย่างที่เราเห็นกันมาตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกๆ หลายคนบอกว่าสวยขึ้น แต่ก็มีบางเสียงที่แตกออกไปว่าชอบการออกแบบด้านท้ายของรุ่นเดิมมากกว่า ต่างคนต่างรสนิยม พูดยาก แต่ก็ถือว่าโดยภาพรวมความสวยงาม ลงตัวของ พริอุสใหม่นี้ เข้าขั้นกว่าเดิม โดยในรุ่นที่เรามีโอกาสได้ลองขับก็ถือว่าออฟชั่นให้มาค่อนข้างครบ โดยภายนอกดีไซน์ใหม่ กระจกมองข้างปรับและพับเก็บด้วยไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟเลี้ยวด้านหน้าและไฟตัดหมอกใหม่ เพิ่มชัดเจนยิ่งขึ้น และช่วยเสริมความปลอดภัย ในตัวแพงจะใช้ไฟหน้าแบบ LED เพื่อความทนทานและประหยัดพลังงาน มาพร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิด อัตโนมัติ ระบบปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ พร้อมหัวฉีดล้างทำความสะอาดโคมไฟหน้า สำหรับไฟท้ายก็เป็นแบบ LED เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วน้ำหนักเบา ช่วยลดแรงเสียดทานในการหมุนวนของอากาศบริเวณซุ้มล้อ ในส่วนของหลังคามีเทคโนโลยี อัจฉริยะ Intelligent Equipment คือระบบระบายอากาศอัตโนมัติด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Ventilation System) ซึ่งเป็นออฟชั่นในรุ่นท็อป โดยแผงโซลาร์บนหลังคารถจะเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ใน การทำงานของพัดลมสำหรับระบายความร้อนออกจากห้องโดยสารขณะจอดกลางแดด เพื่อลดอุณหภูมิห้องโดยสาร ช่วยลดการทำงานของระบบปรับอากาศ ทำให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่โตโยต้า นำมาใช้กับรถยนต์ Interior เปิดประตูเข้าสู่ภายใน ก็จะพบกับความสะดวกสบายจากการที่เบาะคนขับสามารถปรับเลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ปรับระดับได้ 8 ทิศทาง กระชับลำตัวพอสมควร รวมทั้งแผงคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และพวงมาลัยสีดำ ซึ่งเขาบอกว่าจะช่วยเติมอารมณ์สปอร์ตในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะโดนใจวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะโทนสีดำเองแม้ว่าจะสวยแต่ก็ทำให้ภายในดูแคบลงได้ เครื่องเสียงมีช่องต่อ USB/AUX พร้อม DVD หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว 1CD/MP3, WMA ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย (Bluetooth) พร้อมลำโพง 8 จุดและเพาเวอร์แอมป์จาก JBL ที่โตโยต้ารุ่นใหม่ๆ จะใช้กัน และที่น่าประทับใจไม่น้อยสำหรับการทำงานของ ระบบปรับอากาศที่สามารถ เปิด-ปิดด้วยกุญแจรีโมท (Remote Air-Conditioning System) สามารถเปิดแอร์ด้วยรีโมท เพื่อลดอุณหภูมิก่อนเข้าไปสตาร์ทรถ ก็ถือว่าช่วยเพิ่มความสบายได้เยอะ หลายคนสงสัยว่าทำได้อย่างไรในเมื่อเครื่องยนต์ยังไม่ได้สตาร์ท คอมเพรสเซอร์แอร์ซึ่งต่อพ่วงอยู่กับเครื่องยนต์น่าจะไม่ทำงาน อันที่จริงแล้ว พริอุสเองมีโหมด EV หรือว่าการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า จึงไม่แปลกถ้าจะใช้ไฟฟ้าในการเข้ามาช่วยให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานนั่นเอง ย้อนมาดูในส่วนของระบบนำทางบนกระจกหน้า (Head-up Display) งานนี้เราเซ็ตใช้เฉพาะมาตรวัดความเร็ว ส่วนระบบนำทางคงต้องสร้างความคุ้นเคยกับการใช้งานกันหน่อย เพราะใช้ยากไปนิด แตกต่างจากการค้นหา หรือป้อนข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งอย่างที่ใช้กันอยู่ในเนวิเกเตอร์แยกยี่ห้อดังๆ แต่ก็ยอมรับครับว่ามีแล้วก็อุ่นใจขึ้นมาก การออกแบบภายในหลายอย่างใช้งานง่าย และสะดวก การใช้งานเกียร์อัตโนมัติแบบไฟฟ้า ก็ง่าย เพียงแต่สร้างความเคยชินเล็กน้อย โดยเฉพาะปุ่มเกียร์ P หรือเกียร์ Park ที่อยู่ข้างๆ คันเกียร์ ก็ต้องกดในช่วงที่รถจอดและเพิ่มความมั่นใจว่ารถจะไม่ไหลไปชนชาวบ้านเขาด้วย แฮนด์เบรก ที่เปลี่ยนตำแหน่งมาควบคุมด้วยเท้า เช่นเดียวกับคัมรี่ หรือรถหรูยี่ห้ออื่นๆ Engine สำหรับเครื่องยนต์ เทคโนโลยี Atkinson Cycle และระบบควบคุมการหมุนเวียนไอเสีย EGR(Exhaust Gas Recirculation) ที่มีการติดตั้งระบบระบายความร้อน ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมมลภาวะจากไอเสีย พร้อมระบบวาล์วอัจฉริยะ VVT-i เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ประหยัดคุ้มค่า รหัส 2ZR – FXE / 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-i 1,797 ซีซี แรงม้าสูงสุด 73 กิโลวัตต์ (99 แรงม้า) ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor) ที่พัฒนาระบบเกียร์ทดกำลังให้มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบายิ่งขึ้น แต่สามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงขึ้นกำลังสูงสุด 60 กิโลวัตต์ (82 แรงม้า) พร้อมแรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร โดยมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) ตอบสนองการเร่ง ด้วยการเสริมพลังไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน นอกจากนี้ก็จะมี Power Control Unit ทำหน้าที่ควบคุมไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่ และไฟฟ้ากระแสสลับจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม พร้อมช่วยขยายกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ได้สูงถึง 650 โวลต์ และ แบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (Nickel–Metal Hydride) ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าทำให้แบตเตอรี่ไฮบริดมีน้ำหนักเบาขึ้น ทนทานยิ่งขึ้น การเรียกพลังออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ตามที่เราบอกกันไปในช่วงต้น นั่นก็คือการขับโหมด POWER ซึ่งสามารถเรียกม้าออกมาควบได้ครบและต่อเนื่องกว่า แต่ถ้าเมื่อใดที่หันมาเล่นกับโหมด ECO หรือว่า โหมด ประหยัดเพียงอย่างเดียว คนที่ชอบความแรงก็อาจจะเสียอารมณ์ได้ เนื่องจากโหมดนี้ เน้นเรื่องของความประหยัดเป็นหลัก จะกดคันเร่งเพื่อให้รถคลิกดาวน์ นั้นไม่สามารถทำได้อย่างที่ต้องการ เพราะฉะนั้นถ้าอยากเร่งแซงหรือไต่ช่วงที่มีความชันสูงๆ ก็ควรต้องปรับมาที่โหมด POWER ซะก่อน แต่การใช้งานก็ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น เราสามารถเปลี่ยนไป-มาได้ตลอดเวลา เท่าที่ต้องการ ซึ่งใช้นานๆ ก็จะเป็นการสร้างความเคยชิน และคล่องมือขึ้นเอง ส่วนโหมดการขับขี่เงียบสนิท (EV Mode) แน่นอนครับว่าส่วนใหญ่จะต้องใช้งานในเมืองความเร็วต่ำ ซึ่งจะใช้ได้นานขนาดไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ของระบบไฮบริดว่ามีมากมีน้อย เพราะเมื่อใดที่ไฟอ่อนแม้ว่าเราจะปรับมาใช้โหมด EV แต่มันก็จะปรับจากไฟฟ้ามาเป็นการใช้น้ำมันดังเดิมเพื่อเริ่มต้นชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ใหม่ อีกสิ่งหนึ่งที่เราถือว่า โตโยต้า พริอุส รุ่นใหม่นี้ สร้างความประทับใจให้ไม่น้อยเลย ก็คือเรื่องของการทรงตัว และการยึดเกาะถนน ไม่ว่าจะเป็นการขับช่วงเข้าโค้ง หรือว่าใช้ความเร็วสูงในทางตรง เสียงลมปะทะมีน้อย แม้ว่าค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานจะยังคงเท่าเดิมคือเพียงแค่ 0.25 เท่านั้น Safety ครบเครื่องด้วยเรื่องความปลอดภัย ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC – Vehicle Stability Control) ที่ทำงานร่วมกับ EPS (Electronic Power Steering) รักษาการทรงตัวของรถในทุกสภาพการขับขี่, ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC – Traction Control System), ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS – Anti-lock Braking System), ถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 จุดรอบคัน ซึ่งการทดสอบครั้งนี้เป็นที่น่ายินดีครับว่าไม่ค่อยได้ใช้ในเรื่องของระบบความปลอดภัยที่มีให้กันเลย +++ ขอบคุณข้อมูล : นิตยสาร DRIVEN Testdrive Magazine +++