หลังจากโตโยต้าเปิดตัว All New Toyota Camry ที่ได้รับการพัฒนาบนโครงสร้างใหม่ TNGA ของโตโยต้า ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 ของบ้านเราต่อจาก Toyota C-HR ที่จะทำให้มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีกว่า ด้วยการนำโครงสร้างที่พัฒนาใหม่ ผสานเข้ากับเครื่องยนต์ Dynamic Force รุ่นล่าสุด และยังนำระบบไฮบริด เจเนอเรชั่นที่ 4 มาใช้ในรุ่นนี้อีกด้วย





Toyota Camry ใหม่ ได้รับการปรับใหม่ทั้งภายนอกภายในที่มาพร้อมความหรูหราสะดวกสบาย ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุที่เน้นคุณภาพมากกว่าเดิม ออพชั่นต่างๆมากันแบบจัดเต็ม อุปกรณ์ต่างๆถูกจัดวางมาให้ใช้งานค่อนข้างง่าย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่ใช้ควบคุมระบบช่วยการขับขี่ต่างๆ รวมถึงการสั่งงานระบบเครื่องเสียงคุณภาพดีทั้งชุดจาก JBL เบาะนั่งด้านหลังกว้างนั่งสบายโดยในรุ่น 2.5 HV Premium ยังสามารถปรับไฟฟ้าได้ รวมถึงมีการย้ายตำแหน่งของแบตเตอรี่ระบบไฮบริดมาไว้ใต้ที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง ทำให้พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังนั้นมีความกว้างขวางใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น

Toyota Camry ใหม่ รุ่นที่เราได้มาทดลองขับในครั้งนี้ จะเป็นรุ่น 2.5G และ 2.5 HV Premium โดยในรุ่น 2.5G จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์บล็อกใหม่ รหัส A25A-FKB VVT-iE D-4S ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 209 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 5,000 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ 8 สปีด รองรับการใช้งาน E20 และ E85

ส่วนในรุ่น 2.5 HV Premium มาพร้อมระบบไฮบริด เจนเนอเรชั่นที่ 4 เครื่องยนต์เบนซินแบบ Atkinson Cycle บล็อคใหม่ รหัส A25A-FXS VVT-iE D-4S 2.5 ลิตร แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ แรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร ที่ 3,600-5,200 รอบ ทำงานผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 88 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 202 นิวตันเมตร รวมกำลังสูงสุด 211 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT แบตเตอรี่แบบ Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) ขนาด 6.5 แอมแปร์-ชั่วโมง





ช่วงทดสอบ All New Toyota Camry 2.5G และ 2.5 HV Premium
กับทีมงาน Auto-Thailand

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นที่สนามช้างฯ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยจะมีให้ได้ทดลองขับ Toyota Camry ใหม่ ทั้งในสนามช้างฯ และออนโรดในเส้นทางถนนจริง โดยจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ทีมงาน Auto-Thailand เริ่มต้นด้วยการไปขับทดสอบแบบออนโรด ระยะทางประมาณ 50 กม. จากสนามช้างฯมุ่งหน้าไปที่ตั้งถาวรฟาร์ม เมล่อน จังหวัดสุรินทร์  ซึ่งในการขับขี่ครั้งนี้เป็นแบบ Eco Run หรือขับประหยัด โดยในเที่ยวขาไปได้รถทดสอบรุ่น 2.5 HV Premium เดินทางพร้อมผู้โดยสารอีก 2 คน

ตลอดเส้นทางถึงแม้ว่าจะเป็นการขับแบบ Eco Run หรือขับประหยัด แต่มีการจำกัดเรื่องเวลาในการถึงที่หมายใน 1 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อคำนวนดูแล้วก็ต้องใช้ความเร็วในการเดินทางไม่ต่างจากการใช้งานจริง และที่สำคัญได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทางในรถว่าเราไม่ซีเรียสเรื่องแพ้ชนะ แต่อยากรู้ตัวเลขแบบขับใช้งานจริงโดยไม่ปิดแอร์ว่าจะได้เท่าไร




     


ในระหว่างทางขับกันไปเรื่อยๆ ก็พอจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลของระบบช่วงล่าง รวมถึงการเก็บเสียงในห้องโดยสารที่ทำได้ดี เรียกว่าเดินทางสะดวกสบาย แอร์เย็น เพลงเพราะ เบาะนุ่ม และบางช่วงก็ได้ลองใช้งาน EV Mode หรือใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวในการขับเคลื่อน ซึ่งถ้าแบตเตอรี่ระบบไฮบริดเหลือน้อยก็ไม่สามารถใช้งานได้ โดย EV Mode จะใช้งานได้ความเร็วไม่เกิน 50 กม/ชม. แต่ต้องขับเดินคันเร่งกันแบบเนียนๆ ถ้าเหยียบคันเร่งหนักไปเครื่องยนต์ก็จะติดเข้ามาช่วยขับเคลื่อนทันที

ขับมาเกือบถึงที่หมายอีกไม่ไกล ก็ต้องมีเหตุให้ต้องขับใช้ความเร็วจากระยะเวลาที่เหลืออาจไม่พอเกินเวลาที่กำหนด 1 ชั่วโมง ทำให้ได้ลองอัตราเร่งของ Toyota Camry 2.5 HV Premium ซึ่งสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วจากพละกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำให้เราถึงที่หมายทันเวลาพอดี โดยได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตามมาตรวัดที่ 22.7 กิโลลิตร

ส่วนในเที่ยวขากลับ ได้สลับมาทดลองในรุ่น Toyota Camry 2.5G ในเส้นทางเดิมในเวลาที่กำหนดเดิมเช่นกัน โดยมุ่งหน้ากลับไปยังสนามช้างฯ แต่ในเที่ยวขากลับนี้ ทีมงาน Auto-Thailand จะค่อนข้างสบายหน่อยเพราะได้นั่งเบาะหลังยาวๆไป เรียกว่าห้องโดยสารของ  Toyota Camry 2.5G ก็จะหรูหราเหมือนในรุ่น 2.5 HV Premium เบาะหลังจะปรับไม่ได้ ซึ่งความรู้สึกในการนั่งโดยสารต้องบอกว่าค่อนข้างรู้สึกได้เลยว่าช่วงล่างของรุ่นนี้จะแข็งกว่าเล็กน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะมาจาก Toyota Camry 2.5G จะได้ล้อเป็นขอบ 18 นิ้ว พร้อมยางแก้มเตี้ย ส่วนในรุ่น 2.5 HV Premium ล้อจะให้มาแค่ 17 นิ้ว จึงให้ความรู้สึกนุ่มนวลกว่า และเมื่อกลับถึงที่หมายสนามช้างฯ คันเราสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตามมาตรวัดที่ 18.3 กิโลลิตร





หลังจากพักรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อย ช่วงบ่ายกลุ่มของเราจะได้ทดลองขับ All New Toyota Camry ในสนามช้างฯ ด้วยรถทั้ง 2 รุ่นเช่นเคย โดยรถแต่ละคันจะมีทีมงานของโตโยต้านั่งคอยช่วยแนะนำการขับขี่ ซึ่งจะได้ขับ 2 รอบสนาม 

ทีมงาน Auto-Thailand เริ่มทดลองขับ Toyota Camry 2.5 HV Premium ขับออกมาจากพิตก็จะเจอกับสถานีสลาลอมที่จะให้ขับด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. ขับต่อมาจะเจอกับไพล่อนวางไว้ให้หักหลบซ้ายขวา จนมาถึงเส้นทางตรงของสนามก็พอจะได้ทดลองอัตราเร่งได้บ้างแต่ก็เป็นช่วงสั้นๆ เพราะก็จะเจอกับไพล่อนวางดักไว้อีก แต่ก็ถือว่าให้การตอบสนองที่ทันใจพอสมควร โดยเฉพาะรอบหลังได้ลองใช้โหมด Sport ทำให้รถขับสนุกและควบคุมง่ายมั่นใจจากพวงมาลัยที่ปรับหนืดขึ้นเล็กน้อย

จากการได้ขับทดสอบทั้ง 2 รอบ หลักๆที่ทางโตโยต้าต้องการนำเสนอก็คือ การพัฒนาของตัวรถจาก TNGA ซึ่งจากการขับในสถานีต่างๆ การควบคุมรถทำได้ง่าย คล่องตัว แม่นยำ ทั้งๆที่ตัวรถค่อนข้างใหญ่ ระบบช่วงล่างของ Toyota Camry 2.5 HV Premium ก็เน้นความนุ่มนวลการนั่งโดยสารที่สบาย แม้ในช่วงที่ต้องขับสลาลอมหรือหลักหลบสิ่งกีดขวาง ตัวรถจะโคลงตัวน้อย ซึ่งจากการที่ได้ไปทดลองนั่งเบาะหลังก็รู้สึกได้ว่านิ่งกว่ารุ่นเดิมชัดเจน


    




ครบ 2 รอบกลับเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนรถทดสอบเป็น Toyota Camry 2.5G ในเส้นทางเดิม โดยในรอบแรกยังติดใจกับระบบช่วงล่างอยู่ หลังขับครบ 2 รอบ ทำให้ตัดสินใจได้ว่าระบบช่วงล่างของ Toyota Camry 2.5G จะรู้สึกได้ว่าหนึบแน่นกว่ารุ่น 2.5 HV Premium การขับขี่ควบคุมพวงมาลัยทำได้คล่องตัวมั่นใจเช่นเดิม แต่อัตราเร่งจะไม่ทันใจเท่ารุ่นไฮบริด แต่ก็ไม่ถึงกับอืดจนขับไม่สนุก ซึ่งตรงนี้เท่าที่สังเกต ขนาดของล้อที่ไม่เท่ากันอย่างที่กล่าวไปแล้วก็น่าจะมีส่วนอยู่มาก ด้วยล้อที่ใหญ่กว่ามาพร้อมยางแก้มเตี้ยก็น่าจะมีส่วนเรื่องทำให้รู้สึกหนึบแน่นขึ้น และเท่าที่สอบถามทีมวิศวการที่ดูแลทำให้ทราบว่า ระบบช่วงล่างของรุ่นเบนซิน 2.5G และรุ่นไฮบริด 2.5 HV Premium นั้นปรับเซตมาต่างกันโดยใช้พาร์ตทั้งโช้กอัพและสปริงคันละตัว โดยรุ่นเบนซิน 2.5G เน้นให้คนขับขับสนุก ส่วนรุ่นไฮบริด 2.5 HV Premium จะเน้นให้คนนั่งโดยสารนั่งนุ่มสบาย ส่วนรุ่นเบนซิน 2.5G และ 2.0G นั้นจะเซตมาเหมือนกันพาร์ตโช้กอัพและสปริงตัวเดียวกัน

ทีมงาน Auto-Thailand ขอสรุปแบบนี้ จากการที่ได้ทดลองขับ All New Toyota Camry ทั้ง 2 รุ่นนั้น ต้องบอกว่าโดยส่วนตัวชอบการตอบสนองและอัตราเร่งของรุ่นไฮบริด 2.5 HV Premium และในการขับขี่จะชอบการปรับเซตช่วงล่างที่จะค่อนข้างหนึบแน่นกว่าของรุ่นเบนซิน 2.5G ในด้านของออพชั่นที่ทั้ง 2 รุ่นต้องจ่ายเพิ่มจากกันพอสมควร ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่ความชอบเลย และยังมีอีกเรื่องที่ถือเป็นจุดเด่นของทั้ง 2 รุ่นก็คือเรื่องอัตราความสิ้นเปลืองที่ในรถรุ่นใหญ่ๆแบบนี้ แต่สามารถทำตัวเลขได้น่าพอใจเลยทีเดียว เอาเป็นว่าถ้าไม่กลัวการดูแลกับรถระบบไฮบริดแถมประหยัดน้ำมันอีกต่างหากก็เลือกรุ่น 2.5 HV Premium แต่ถ้างบจำกัด ชอบช่วงล่างแบบขับสนุก อัตราสิ้นเปลืองพอใช้ได้ก็ต้องเลือกรุ่นเบนซิน 2.5G และสุดท้ายยังมีรุ่นประหยัด 2.0G มาให้เป็นทางเลือกอีกทางด้วยนะครับ...