ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid)  ได้รับการพัฒนาจาก ฮอนด้า แอคคอร์ด เจนเนอเรชั่นที่ 9 ด้วยระบบการขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi Mode Drive (i-MMD) แบบ Full Hybrid ที่ให้กำลังการขับเคลื่อนสูงสุดทั้งระบบ 215 แรงม้า และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัย Honda SENSING สมรรถนะจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ครับ





ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) รูปโฉมภายนอกโดยรวมแล้วยังคงเดิม แต่เพิ่มเติมความโดดเด่นด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ LED ตกแต่งด้วยกรอบไฟสีฟ้า พร้อมไฟ Daytime ระบบไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light - ACL) ช่วยเพิ่มความสว่างด้านข้างของตัวรถ ขณะทำการเลี้ยวรถในเวลากลางคืน และยังมาพร้อมกระจังหน้าดีไซน์พิเศษตกแต่งด้วยเส้นสายสีฟ้าและไฟท้ายดีไซน์ใหม่แบบ LED ที่ตกแต่งด้วยกรอบสีฟ้า สปอยเลอร์หลังทรงสปอร์ต ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ และซันรูฟไฟฟ้าพร้อมระบบ One-touch

ภายในของฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) โดยรวมก็ยังคงเดิม แต่จะมีการตกแต่งเพิ่มความสปอร์ตหรูหราจากเบาะหนังสีน้ำตาลใหม่ พร้อมด้วยชุดแต่งลายไม้และสีดำเปียโนแบล็ค  ฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆมีมาให้ครบ  อาทิ พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ที่มีสวิตซ์ควบคุมระบบเครื่องเสียง ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ปุ่มควบคุมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบอัจฉริยะ i-MID พร้อมด้วยปุ่มควบคุมระบบ ACC และระบบ LKAS ส่วนอีก 2 ระบบของ Honda SENSING จะมีปุ่มควบคุมการทำงานที่ด้านขวาสุดบริเวณคอนโซล เพื่อความสะดวกในการใช้งานขณะขับขี่ 

ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนและใช้งานได้อย่างสะดวก อีกออพชั่นที่ติดตั้งมาให้ก็คือ ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์และเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Engine Remote Start) ที่สามารถสั่งการสตาร์ทเครื่องยนต์และสั่งการเปิดเครื่องปรับอากาศได้จากระยะไกลช่วยเพิ่มความสะดวกก่อนขับขี่ใช้งาน

มาถึงไฮไลต์ของฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) ก็คือ ระบบ  Sport Hybrid i-MMD ที่ได้รับการพัฒนาใหม่แบบ Full Hybrid เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ  และแรงบิดสูงสุด 175 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่องตลอดการขับขี่ ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร โดยมอเตอร์ขับเคลื่อนจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ รวมถึงชาร์จไฟกลับในขณะลดความเร็ว ผสานการทำงานกับมอเตอร์เจเนอเรเตอร์ ที่ทำหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ส่งต่อให้มอเตอร์ขับเคลื่อน โดยมี PCU ควบคุมการทำงานของมอเตอร์ทั้ง 2 ตัว ซึ่งการทำงานของระบบไฮบริดทั้งระบบสามารถให้กำลังสูงสุดที่ 215 แรงม้า มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ไฮบริดแบบลิเธียม-ไออน 1.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ที่สามารถชาร์จไฟกลับเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็วและจ่ายไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  




     

     

     

     

     




สำหรับระบบ Sport Hybrid i-MMD เครื่องยนต์, มอเตอร์ไฟฟ้า, PCU (Power Control Unit), IPU (Intelligent Power Unit) และชุดล็อคอัพคลัตช์ ของฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) ได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้มีขนาดและน้ำหนักลดลง ทำให้การทำงานของระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น  โดยระบบควบคุมและแบตเตอรี่ไฮบริดแบบลิเธียม-ไอออนที่ติดตั้งอยู่บริเวณด้านหลังของเบาะผู้โดยสารด้านหลังมีขนาดเล็กและเบาลง ทำให้พื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายเพิ่มขึ้นจากเดิมในรุ่นก่อนหน้า 26 ลิตรเป็น 424 ลิตร

ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) ยังสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ในขณะนั้น โดยสามารถเลือกโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ซึ่งมอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และในขณะลดความเร็วจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดจากการลดความเร็วให้กลับเป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่ ซึ่งในโหมดนี้จะให้การขับขี่ที่ดีและให้ความเงียบเช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า โดยแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น ช่วยให้สามารถขับขี่ในโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับความเร็วที่เคลมมาจากโรงงานจะสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 120 กม./ชม. แต่ที่ทดลองขับขี่ในขณะที่แบตเตอรี่ที่หน้าปัดเกือบเต็มสามารถทำความเร็วได้ประมาณ 60-70 กม./ชม. ระบบก็ตัดมาทำงานในโหมด Hybrid แล้ว เรียกว่าจะเหมาะกับการขับขี่ในเมืองเคลื่อนตัวช้าๆมากกว่า

ทั้งนี้ ผู้ขับขี่สามารถกดสวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า EV ที่ข้างคันเกียร์โดยจะมีสัญลักษณ์ EV สีเขียวปรากฏขึ้นบนแผงหน้าปัด ซึ่งระบบจะทำงานและตัดเข้าสู่การทำงานในโหมดอื่นตามสภาพการขับขี่ที่เปลี่ยนไป

โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Drive Mode) นับเป็นครั้งแรกของฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid)  ที่มาพร้อมโหมดการขับขี่นี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการขับขี่ที่สนุกสนานและมีอัตราเร่งที่รวดเร็วขึ้น จากการทำงานของระบบด้วยการกระตุ้นให้มอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งรับหน้าที่ในการขับเคลื่อนเข้ามาช่วยเครื่องยนต์ในการเพิ่มอัตราเร่งให้ดีขึ้น โดยผู้ขับขี่สามารถใช้งานโหมดนี้ได้ด้วยการกดปุ่ม Sport ที่ติดตั้งอยู่ตรงบริเวณด้านล่างของเกียร์ โดยจะมีสัญลักษณ์ SPORT สีเขียวปรากฏขึ้นบนแผงหน้าปัดขณะที่ใช้งานระบบ

Honda SENSING คืออีกไฮไลต์หนึ่งของระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาในฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก CMBS, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน  ACC, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS และระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ  RDM / LDW ด้วยการทำงานของเรดาร์กับกล้องด้านหน้า ในการตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนนแล้วแจ้งเตือน พร้อมทั้งช่วยควบคุมรถในสถานการณ์การขับขี่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย




     




ช่วงทดสอบฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid)
กับทีมงาน Auto-Thailand

กิจกรรมการทดสอบเริ่มต้นที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล พัทยา โดยใช้รถทดสอบฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) รุ่น HYBRID TECH ที่จัดเต็มทั้งออพชั่นและระบบความปลอดภัย เดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดจันทรบุรี ระยะไปกลับรวมกว่า 300 ก.ม. ในระหว่างทางทีมงานฮอนด้าจะวางเส้นทางที่เหมาะแก่การให้ได้ทดลองสมรรถนะของตัวรถ รวมถึงลองใช้ระบบ Honda SENSING เรียกว่าตลอดเส้นทางได้ลองกับครบทุกสภาพการใช้งาน

เริ่มการทดลองขับขี่ในช่วงแรกนี้เส้นทางเป็นถนนลาดยางตีเส้นจราจรชัดเจนทำให้เหมาะกับการได้ทดลองระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ  LKAS และระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM และ LDW








โดยระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS (Lane Keeping Assist System) เป็นระบบที่ใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ โดยจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัยเพื่อช่วยผู้ขับขี่ให้ควบคุมรถอยู่ภายในช่องทางปกติและลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ ทั้งนี้ กล้องที่ติดตั้งอยู่บริเวณกระจกบังลมด้านหน้า จะตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถที่อยู่บนถนน โดยจะเริ่มทำงานที่ช่วงความเร็ว 72-180 กม./ชม. ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเปิดหรือปิดการทำงานของระบบนี้ได้ด้วยการกดสวิตช์ควบคุมที่ติดตั้งอยู่ที่มุมล่างขวาของพวงมาลัย เนื่องจาก LKAS ไม่ใช่ระบบขับขี่อัตโนมัติ ดังนั้นระบบจะหยุดทำงานถ้าหากผู้ขับขี่ปล่อยมือออกจากพวงมาลัย โดยจะมีการเตือนด้วยภาพผ่านทางหน้าจอ MID เพื่อให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ภายในช่องทางอีกครั้ง







ส่วนระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM (Road Departure Mitigation) และ LDW (Lane Departure Warning) เป็นระบบที่ใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูล พร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัยเพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทาง หากรถยังคงเบี่ยงออกนอกช่องทางจนอาจเกิดอุบัติเหตุ ระบบเบรกจะทำงานเพื่อชะลอความเร็ว (ในกรณีเส้นแบ่งถนนเป็นเส้นทึบ) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร ระบบ RDM จะรวมอยู่ในระบบควบคุมการทรงตัว หรือ VSA เพื่อให้ตัวรถมีการเบรกอย่างเหมาะสม และพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS ช่วยให้การบังคับพวงมาลัยทำได้อย่างแม่นยำ การแจ้งเตือนผ่านทั้งภาพและเสียงจะแสดงผลผ่านทางหน้าจอ Multi Information Display-MID ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้ทราบว่าระบบกำลังทำงานเพื่อให้รถกลับมาอยู่ในช่องทาง โดยสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนต่างๆ ผ่านทางฟังก์ชั่น Setting ในตัวรถได้

ความรู้สึกจากการได้ทดลองใช้งานทั้งสองระบบถือว่าสามารถช่วยในการขับขี่ให้ปลอดภัยในยามที่ผู้ขับขี่อาจเผลอเรอ แต่ตรงนี้ก็ต้องศึกษาเงื่อนไขการใช้งานของระบบให้ดีเพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพเต็มที่และมีปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น






ช่วงต่อมาได้ลองใช้งานระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)  เป็นระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้องและเรดาร์ตรวจจับรถคันหน้า  เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม ผู้ขับขี่สามารถปรับเซ็ตระยะห่าง ได้ตามต้องการจากปุ่มด้านขวาที่พวงมาลัย

โดยการทำงานระบบจะตรวจจับรถยนต์คันที่อยู่ด้านหน้า และจะปรับความเร็วลงอัตโนมัติเมื่ออยู่ในระยะที่เสี่ยงต่อการชน จากนั้นระบบจะทำการปรับความเร็วและกำหนดระยะห่างในการขับขี่ตามที่ผู้ขับขี่ได้ตั้งค่าไว้  เมื่อมีรถยนต์เข้ามาแทรกกลางระหว่างฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) กับรถยนต์คันหน้า ระบบจะทำการกำหนดเป้าหมายใหม่ โดยจะตรวจจับรถยนต์คันหน้าที่มีระยะใกล้กับรถยนต์มากที่สุด เพื่อปรับลดความเร็วและกำหนดระยะห่างได้อย่างเหมาะสม และเมื่อรถยนต์คันที่ระบบได้ตรวจจับไว้ ออกจากช่องทางเดินรถ ระบบจะทำงานต่อไปด้วยความเร็วที่ผู้ขับขี่ได้ตั้งค่าไว้ในช่วงความเร็วตั้งแต่ 30-180 กม./ชม. โดยหน้าจอแสดงผล Multi Information Display-MID จะแสดงข้อความและแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ได้รับทราบเมื่อระบบถูกเปิดทำงาน





อีกระบบที่ได้ทดลองก็คือ ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก CMBS (Collision Mitigation Braking System) เป็นระบบที่ช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วของรถ เมื่อมีรถข้างหน้า รถสวนทาง หรือคนเดินถนนอยู่ในระยะที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียงรวมถึงมีการสั่นเตือนของพวงมาลัยในกรณีรถสวนทาง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนองหรือในกรณีที่อยู่ในระยะที่เสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกให้อัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ ซึ่งในครั้งนี้ระบบ CMBS ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะตรวจจับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเท่านั้น แต่ยังเพิ่มการตรวจจับรถที่วิ่งสวนทาง รวมทั้งคนเดินถนนได้อีกด้วย




     

     




ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) ยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยอื่นๆอีก อาทิ  ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ช่วยลดจุดบอดในการมองเห็นของกระจกมองข้างด้านซ้าย โดยจะใช้กล้องที่ติดตั้งอยู่บริเวณด้านล่างของกระจกข้างฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าในการจับภาพและแสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 7.7 นิ้ว โดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย เพื่อแสดงภาพมุมอับขณะเปลี่ยนเลนในมุมมองที่กว้างขึ้นถึง 4 เท่า หรือประมาณ 80 องศา ซึ่งบนหน้าจอจะมีเส้นในการอ้างอิงระยะแสดงอยู่ 3 เส้น ซึ่งผู้ขับขี่สามารถใช้เส้นเหล่านี้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจก่อนเปลี่ยนช่องทางเดินรถได้อีกด้วย และระบบกล้องส่องภาพด้านหลัง ปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอย สามารถเลือกดูมุมกล้องที่แตกต่างกันได้ทั้งแบบ 130 องศา 180 องศา และมุมมองจากด้านบน

สำหรับในช่วงที่ทางโล่งๆสามารถทำความเร็วได้นั้น ได้ทดลองใช้งานขับขี่โหมด Sport โดยจะมีการทำงานของระบบด้วยการกระตุ้นให้มอเตอร์ไฟฟ้าส่งพลังขับเคลื่อนเข้ามาช่วยเพิ่มอัตราเร่งให้ดีขึ้น โดยผู้ขับขี่สามารถใช้งานโหมดนี้ได้ด้วยการกดปุ่ม Sport ที่ติดตั้งอยู่ตรงบริเวณด้านล่างของเกียร์ โดยจะมีสัญลักษณ์ SPORT สีเขียวปรากฏขึ้นบนแผงหน้าปัดขณะที่ใช้ระบบ แต่โหมด Sport ในฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) นี้จะช่วยในเรื่องของพละกำลังขับเคลื่อนอย่างเดียว ไม่มีผลต่อการควบคุมระบบพวงมาลัยและระบบช่วงล่าง

ตลอดการขับขี่ตลอดเส้นทาง ความรู้สึกที่สังเกตได้ก็คือ เรื่องของพละกำลังและการตอบสนองของฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) ที่ให้อัตราเร่งได้ค่อนข้างรวดเร็วกว่ารุ่นเดิม การควบคุมขับขี่ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าสามารถปรับความหนืดเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้ตามความเร็วที่ใช้งาน ระบบช่วงล่างที่ปรับเซตมาในแนวนุ่มหนึบเรียกว่าให้ความรู้สึกสปอร์ตในการขับขี่ แต่ก็ยังมีความนิ่มนวลในช่วงที่ได้ลองนั่งโดยสาร

ในของการเก็บเสียงรบกวนเป็นอีกเรื่องที่ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) ได้รับการปรับปรุงให้สามารถเก็บเสียงรบกวนได้อย่างน่าพอใจ เสียงลมประทะจะมีมาให้ได้ยินในระดับความเร็วกินกว่า 140 กม./ชม.

ด้วยการที่เป็นรถยนต์ไฮบริด ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) ได้รับการพัฒนาระบบชาร์ตไฟให้สามารถเก็บพลังไฟเข้าแบตเตอรี่ไฮบริดได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมแบบชัดเจน ซึ่งทำให้สามารถช่วยให้สามารถขับขี่ในโหมด EV และ Hybrid ทำได้ดีขึ้น โดยอัตราสิ้นเปลืองที่เราทำได้ในการขับขี่เฉลี่ยอยู่ที่ 13-16 กิโลลิตร กับรูปแบบการขับขี่ใช้งานจริง และใช้ความเร็วสูงอยู่บ่อยครั้งตลอดเส้นทาง





ทีมงาน Auto-Thailand ขอสรุปแบบนี้ ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ (New Honda Accord Hybrid) ปรับโฉมให้มีความสปอร์ตหรูหราโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม เทคโนโลยีอำนวยความสะดวก ระบบความปลอดภัยมากันแบบจัดเต็ม ระบบการขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD แบบ Full Hybrid ที่พัฒนาให้มีพละกำลังสามารถตอบสนองการขับขี่ที่ดีขึ้น ที่สำคัญในรุ่น HYBRID TECH ยังมีค่าตัวที่คุ้มค่ากว่าเดิม เรียกว่าเป็นรถยนต์ไฮบริดที่น่าสนใจอีกรุ่นที่ไม่ควรพลาดเลยครับ...