บริษัท ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ จำกัด (มหาชน) สรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2555 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 821 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 214 ล้านบาท คิดเป็น 35% และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 106 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33 ล้านบาท คิดเป็น 45% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2554 ซึ่งมีปัจจัยมาจากการขยายงานชิ้นส่วน และรับจ้างประกอบ และพ่นสี จากลูกค้าทั้งกลุ่มยานยนต์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม และเครื่องจักรกลทางการเกษตร ที่มีการเจริญเติบโตเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วอย่างมาก

ผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2555 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
- รายได้จากธุรกิจแม่พิมพ์ และชิ้นส่วน เพิ่มขึ้น 59% จากไตรมาส 2/2554 เนื่องจากปริมาณงานชิ้นส่วนของลูกค้าค่ายรถยนต์ต่าง ๆ เช่น Nissan, GM, Isuzu ฯลฯ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและยานยนต์ไทยซึ่งเริ่มกลับเข้าสู่ระดับการผลิตปกติ
- รายได้จากธุรกิจรับจ้างประกอบ และพ่นสี เพิ่มขึ้น 38% จากไตรมาส 2/2554 เนื่องจากปริมาณงานรับจ้างประกอบ และพ่นสีรถปิกอัพ Nissan เพื่อส่งออกต่างประเทศเพิ่มขึ้น และในปีนี้บริษัทฯ ได้รับงานประกอบ พ่นสีรถบรรทุกขนาดกลาง Isuzu เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ ปริมาณงานของลูกค้ากลุ่มเครื่องจักรอุตสาหกรรม และเครื่องจักรกลทางการเกษตร เช่น Komatsu, Kobelco และลูกค้าใหม่ Yanmar ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตเพื่อการส่งออก ก็มีแนวโน้มเติบโตขึ้นมากเช่นเดียวกัน

สำหรับทิศทางในปี 2555 ของบริษัทฯ นั้น ครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 34% ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ และมีกำไรเพิ่มขึ้น 56% สำหรับครึ่งปีหลังนั้นคาดว่ายังคงมีแนวโน้มการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของการประกอบตัวถังและพ่นสีรถยนต์ได้มากขึ้น โดยภาพรวมแล้วในปี 2555 คาดว่าจะมีการเติบโตของรายได้ไม่น้อยกว่า 35% เนื่องจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนแห่งใหม่ที่จังหวัดระยองได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งจะสามารถใช้กำลังการผลิตในเครื่องจักรที่ได้มีการติดตั้งเสร็จแล้วได้เต็มที่เพิ่มขึ้นได้ในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะสามารถเพิ่มรายได้จากงานชิ้นส่วนให้บริษัทฯ ได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการขยายการลงทุนในด้านต่าง ๆ เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เช่น การลงทุนติดตั้งเครื่องจักรผลิตชิ้นส่วน การลงทุนในเครื่องจักรใหม่สำหรับงานแม่พิมพ์และอุปกรณ์จับยึด อีกทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนห้องพ่นสีเพิ่มเติม เพื่อรองรับงานรับจ้างประกอบและพ่นสี ให้ลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ รถบรรทุก กลุ่มเครื่องจักรอุตสาหกรรม และเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งมีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูงทั้งในปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นบริษัทฯ จึงมีความมั่นใจว่าการเจริญเติบโตของบริษัทในปีนี้จะสูงกว่าการเติบโตของตลาด
ปัจจุบันผู้ประกอบการต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น มีการย้ายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตรถปิกอัพและอีโคคาร์ส่งออกทั่วโลก และการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ก็เป็นการเพิ่มโอกาสตลาดและการส่งออกให้อุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทยที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยจะเติบโตขึ้นไปสู่ระดับการผลิต 2.5 ล้านคัน ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าตามที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดการณ์ไว้ได้ และบริษัทฯ มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจากชื่อเสียงและศักยภาพในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ครบวงจรของบริษัท จะทำให้บริษัทฯ มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างต่อเนื่องใน 2-3 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน