"ลามิน่า" ลั่นครองแชมป์ตลาดฟิล์มกรองแสงต่อเนื่อง หลังปีนี้ขอโตเหนือตลาด 10% เพิ่ม มาร์เก็ตแชร์อีก 3% ขยับเป็น 33% โกยรายได้ที่ 800 ล้านบาท เดินหน้ารุกตลาดด้วยกลยุทธ์ 360 องศา พร้อมชูความเป็นผู้นำ 4 ประการ
นางสาวจันทร์นภา สายสมร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ตัวแทนจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร "ลามิน่า" และฟิล์มกลุ่มพิเศษ "ลูม่าร์" ผลิตโดยซีพีฟิล์มอิงค์ สหรัฐอเมริกา มาตรฐาน ISO9001 และอุปกรณ์บรรทุกสัมภาระธูเล่ จากสวีเดนแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กล่าวถึงผลการดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านมาว่า ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จของผู้ประกอบการทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งฟิล์มกรองแสงลามิน่า เนื่องจากตลาดรถยนต์มีการเติบโตเป็นอย่างมาก โดยมียอดขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.45 ล้านคัน
ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการส่งเสริมให้ประชาชนได้มีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์คันแรก รวมทั้งตลาดรถยนต์อยู่ในภาวะฟื้นตัวหลังจากเมื่อปลายปี 2554 ประเทศไทยต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้ในปีที่ผ่านมาตลาดรถยนต์มีความคึกคักเป็นอย่างมาก
โดยข้อมูลการจำหน่ายรถยนต์ปี 2554 มีทั้งสิ้นประมาณ 8 แสนคัน เมื่อรวมกับตลาดฟิล์มทดแทนและฟิล์มอาคารแล้วคาดว่ามีการใช้ฟิล์มกรองแสงทั้งตลาด 38 ล้านตารางฟุตต่อปี คิดเป็นมูลค่าตลาดฟิล์มกรองแสงโดยรวมที่ 1,350 ล้านบาท และลามิน่ามียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ที่ 538 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการตลาดเชิงปริมาณที่ 30%
ในปี 2555 ที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายรถยนต์มากกว่า 1.4 ล้านคัน เมื่อรวมกับตลาดฟิล์มทดแทนและฟิล์มอาคารแล้ว คาดว่ามีปริมาณการใช้ฟิล์มทั้งสิ้น 57.75 ล้านตารางฟุต มีอัตราการเติบโตที่ 53% มูลค่ารวมที่ 1,950 ล้านบาท โดยลามิน่ามียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 805 ล้านบาท ยังคงครองเป็นผู้นำอันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ที่สัดส่วนการตลาดเชิงปริมาณที่ 30%
"มูลค่าการจำหน่ายฟิล์มกรองแสงในปี 2555นั้น คาดว่าน่าจะได้เห็นตัวเลขที่แท้จริงจากหน่วยงานราชการราวช่วงกลางปี แต่จากตัวเลขข้างต้น เป็นการคำนวณตลาดในเบื้องต้น ซึ่งเราเชื่อว่าจะมีความใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด" นางสาวจันทร์นภากล่าว
ส่วนปีนี้เชื่อว่ายอดการจำหน่ายรถยนต์น่าจะอยู่ที่ระดับ 1.2 ล้านคัน ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดฟิล์มกรองแสงโดยรวมหดตัวลง 9-10% ในระดับที่ใกล้เคียงกันกับตลาดรถยนต์ แม้ว่าในส่วนของตลาดฟิล์มทดแทน (ป้ายดำ) นั้นเชื่อว่าจะยังเติบโตอีกประมาณ 10% ก็ตามซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มผู้ซื้อรถยนต์คันแรก และรถอีโคคาร์เริ่มมีความต้องการที่จะเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงเพิ่มขึ้น
ทำให้คาดการณ์ได้ว่าตลาดโดยรวมน่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรง โดยตลาดโดยรวมจะมีมูลค่า 1,850-1,900 ล้านบาท มีปริมาณการใช้ฟิล์มหดตัวลง 9% มีปริมาณการใช้ที่ 52.5 ล้านตารางฟุต แต่ลามิน่าตั้งเป้าจะต้องมีอัตราการเติบโตที่เหนือตลาดที่ 10% มียอดการจำหน่ายเป็นอันดับหนึ่งที่ 800 ล้านบาท มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 33% จากปีที่แล้ว 30% หรือคิดเป็นยอดการติดฟิล์มในรถยนต์ที่ 5 แสนคัน
นางสาวจันทร์นภากล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายในการเติบโตเหนือตลาด 10% และเพิ่มมาร์เก็ตแชร์อีก 3% นั้น บริษัทจะเน้นกลยุทธ์การทำตลาดแบบ 360 องศา พร้อมทั้งนโยบายความเป็นผู้นำใน 4 ด้าน 1.นวัตกรรม (Lead to Innovation) โดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง 2.ด้านการบริการ (Lead to Service) ที่เป็นมาตรฐาน ทั้งพนักงานและช่างผู้เชี่ยวชาญ 3.ด้านพันธกิจตอบแทนสังคม (Lead to CSR) 4.ด้านการให้ข้อเท็จจริง (Lead to Fact) เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริงกับลูกค้า ซึ่งตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด พร้อมกันนี้บริษัทได้เตรียมงบประมาณเพื่อใช้สื่อสารการตลาดทั้งสิ้น 60 ล้านบาท
เรามีโครงการต่าง ๆ มากมายเพื่อคืนความสุขสู่สังคมไทย, ด้านการให้ข้อเท็จจริง (Lead to Fact) เราให้ข้อมูลที่แท้จริงเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้าทุกท่าน ในด้านเครือข่ายการจัดจำหน่ายนั้น ปัจจุบันลามิน่ามีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศทั้งสิ้น 540 ศูนย์ แบ่งเป็นศูนย์ลามิน่าฟิล์ม เอ็กซ์คลูซีฟ ช็อป 60 ศูนย์ นอกจากนี้ ยังมีช่องทางการจำหน่ายผ่านโชว์รูมรถยนต์ทั่วประเทศอีกไม่น้อยกว่า 1,500 ราย
"ที่ผ่านมาลามิน่ายังเป็นฟิล์มกรองแสงรายเดียวที่ได้รับรางวัล Super Brands ตราสินค้าที่ครองใจผู้บริโภคสูงสุดตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน และยังได้รับรางวัล TAQA Award ซึ่งเป็นรางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยมด้านผลิตภัณฑ์ประกอบรถยนต์ ประเภทฟิล์มกรองแสง ต่อเนื่องกัน 3 ปีซ้อน ซึ่งช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของเราได้เป็นอย่างดี"