มาสด้าเผยภาพรวมยอดขายปี 2563 พุ่งเกือบ 40,000 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 5% โดยรถยนต์นั่งมาสด้า2 ยังคงครองความนิยมสูงสุด วางแผนเปิดตัวรถรุ่นใหม่ทุกเซ็กเมนต์กระตุ้นตลาด โดยเฉพาะปิกอัพ บีที-50 ที่กำลังจะมาสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้กับตลาดรถปิกอัพเมืองไทย มุ่งสื่อสารวิสัยทัศน์ Sustainable zoom-zoom 2030 พร้อมตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 50,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นสูงกว่า 30% และครองส่วนแบ่งการตลาด 6%
นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปี 2563 นับเป็นปีที่ท้าทายอย่างยิ่ง โดยมีทั้งปัจจัยภายนอกและภายในที่เข้ามากระทบ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี จึงทำให้อุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยต้องหยุดชะงัก แต่ด้วยมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐ และความร่วมแรงร่วมใจกันของพี่น้องชาวไทย จึงทำให้ธุรกิจต่างๆ ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นและเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงปลายปี จึงทำให้ตัวเลขที่เกิดขึ้นดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับตลาดรถยนต์ในปี 2563 จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 1 ล้านคัน (เมื่อต้นเดือนมกราคม) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปี 2562 แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเลขรวมของอุตสาหกรรมทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 7.9 แสนคัน ลดลงประมาณ 20% เช่นเดียวกับมาสด้าที่เคยตั้งเป้าไว้ที่ 50,000 คัน แต่เนื่องจากเกิดการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เกิดการ ล็อกดาวน์ประเทศ ทำให้แนวโน้มและทิศทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามคาดการณ์ เมื่อกลางปี 2563 มาสด้าจึงได้ปรับเป้าการขายมาอยู่ที่ 45,000 คัน แต่สุดท้ายก็สามารถคว้ายอดขายรวมมาได้ที่ 39,266 คัน หรือลดลงประมาณ 32% ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ แต่ทั้งนี้แล้ว ก็ยังถือว่าเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนและตลาดเกิดใหม่ โดยแบ่งออกเป็นรถยนต์นั่งจำนวน 24,839 คัน รถอเนกประสงค์เอสยูวี 11,716 คัน รถปิกอัพ 2,711 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 5%
จากตัวเลขยอดขายนี้ ส่งผลให้รถยนต์มาสด้าภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และภายใต้การออกแบบของโคโดะ ดีไซน์ มียอดขายสะสมสูงเกือบ 3 แสนคัน ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี และเมื่อย้อนกลับไปดูตัวเลขการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี จึงทำให้ มาสด้า ประเทศไทย ยังคงเป็นหนึ่งในตลาดหลักของมาสด้าทั่วโลก ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้มาสด้าประสบความสำเร็จในปี 2563 ที่ผ่านมานั้น ล้วนได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าทุกท่านเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์ลงทำตลาด หรือตระกูล CX-Series และทุกรุ่นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
นายชาญชัย กล่าวเสริมว่า “การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ รุ่นพิเศษ รวมถึงการปรับโฉมเพื่อสร้างความสดใหม่ให้กับตลาดรถยนต์นั่งและรถอเนกประสงค์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้เดือนธันวาคม 2563 มาสด้าสามารถทำยอดขายรวมได้สูงที่สุดในรอบปีถึง 5,253 คัน โดยแบ่งเป็น Mazda2 จำนวน 3,084 คัน (ยอดขายสูงสุดในรอบปี) ตามด้วย Mazda CX-30 จำนวน 936 คัน (ยอดขายสูงสุดนับแต่เปิดตัว) Mazda CX-3 จำนวน 457 คัน (ยอดขายสูงสุดในรอบ 2 ปี) Mazda3 จำนวน 391 คัน Mazda CX-8 จำนวน 260 คัน และ Mazda CX-5 จำนวน 124 คัน”
ในปี 2563 แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต แต่มาสด้ายังคงเดินหน้าส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มากยิ่งขึ้น ทั้งเพื่อสื่อสาร การจำหน่าย และเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ รวมถึงได้เดินหน้าขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายถึง 12 แห่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพันธมิตรในการทำธุรกิจร่วมกับมาสด้า ซึ่งนับเป็นแบรนด์รถยนต์ที่เปิดโชว์รูมมากที่สุด และได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง อาทิ กิจกรรม “มาสด้า คาราวาน ปันสุข” เพื่อแบ่งปันน้ำใจไปยังผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ให้การสนับสนุนกีฬามอเตอร์สปอร์ต ภายใต้ทีม Mazda Innovation Motorsport และสนับสนุนกีฬาฟุตบอล นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี อย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ นายชาญชัย ยังได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2564 พร้อมคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะมียอดรวมประมาณ 8.4 แสนคัน หรือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้แล้วก็ยังคงต้องจับตามองว่าการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 จะส่งผลมากน้อยแค่ไหนต่อภาพรวมประเทศไทย เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ สำหรับมาสด้าแล้ว คาดการณ์ไว้ว่าจะประสบความสำเร็จใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา พร้อมมองเป้าจำหน่ายที่จำนวน 50,000 คัน หรือส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 6%”
เพื่อบรรลุเป้ายอดขายดังกล่าว ปีนี้มาสด้าจะเสริมความแข็งแกร่งด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ หลากหลายรุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการเปิดตัว All-New Mazda BT-50 อันเป็นการกลับมาอีกครั้ง หรือ Revolutionary Change ที่มาสด้าจะมาสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในตลาดรถปิกอัพเมืองไทย
“ในปีนี้ เราจะยังคงเดินหน้าสื่อสารเรื่องวิสัยทัศน์ Sustainable zoom-zoom 2030 คือ การแก้ปัญหาที่ต้องเผชิญ เพื่อให้โลกของเรายังคงสวยงาม เพื่อผู้คน และสังคมให้น่าอยู่ตลอดไป โดยยังคงเน้นเรื่อง “ความสนุกในการขับขี่” พร้อมเดินหน้าพัฒนาคุณภาพการขายและการบริการ ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นพรีเมียม แบรนด์ที่ส่งมอบคุณค่าและการบริการที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย” นายชาญชัย กล่าว
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ กล่าวเกี่ยวกับกลยุทธ์ด้านการตลาดว่า ปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะรถยนต์ทุกรุ่นที่เปิดตัวล้วนได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมในทุกรุ่น ถึงแม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะไม่มีรถใหม่ลงตลาด และยังเป็นช่วงที่ต้องจำหน่ายรถรุ่นเก่าก่อน ซึ่งถือเป็นช่วงที่ยากลำบาก แต่ทั้งนี้แล้วในปี 2564 เราจะเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง พร้อมให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลมากยิ่งขึ้น
นอกจากการตลาดในส่วนการขายแล้ว การบริการลูกค้าและการเอาใจใส่ตลอดระยะเวลาที่ลูกค้าครอบครองรถก็นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ มาสด้าได้ทำการปรับปรุงคุณภาพและราคาอะไหล่จนสามารถใกล้เคียงกับตลาด หรือบางชิ้นส่วนมีราคาต่ำกว่าตลาด รวมถึงเพิ่มความสะดวกด้วยบริการจัดส่งอะไหล่ถึง 2 รอบต่อวัน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัด 1 รอบต่อวัน รวมถึงมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการให้บริการพร้อมแผนขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสร้างความอุ่นใจในการเข้ารับบริการของลูกค้าทุกพื้นที่
นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับมาสด้าสิ่งสำคัญที่ผลักดันให้เราก้าวมาถึงจุดนี้ได้ คือการพัฒนา ไม่ใช่การขาย หลังจากนี้เราจึงอยากให้ความสำคัญกับการทำตลาดมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการบริการหลังการขาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และดึงดูดลูกค้ารายใหม่ให้หันมาใช้รถของเรา ซึ่งในปีนี้ มาสด้าได้ตั้งยอดขายไว้ที่ 50,000 คัน ซึ่งไม่ใช่ยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่นั่นคือ การตั้งเป้าให้ทีมงานมาสด้าทั้งหมดต้องยกระดับและพัฒนาตนเองให้ก้าวไปสู่จุดนั้นให้ได้”
“ทั้งหมดนี้คือแนวทางในการดำเนินธุรกิจของมาสด้าในปี 2564 และผมต้องขอขอบคุณลูกค้า พันธมิตร และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุนมาสด้ามาโดยตลอด และมาสด้าให้คำมั่นสัญญาว่าจะเดินหน้าส่งมอบรถยนต์ที่เป็นที่ต้องการของลูกค้า โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้ง ตลอดไป” นายธีร์ กล่าวเสริม