มิชลิน ผู้นำเทคโนโลยีด้านยาง แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ยางมิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซด (MICHELIN X COACH ENERGY Z) เพื่อความปลอดภัย และนุ่มสบายของผู้โดยสาร ลดต้นทุนและเวลาการซ่อมบำรุง สำหรับตลาดเอเชีย
มร. อเล็กซองด์ อองนิยง (Mr.Alexandre Hennion) ผู้อำนวยการยางรถบรรทุกและยางนอกทางหลวง บริษัท สยามมิชลิน จำกัด เปิดเผยว่า มิชลินเปิดตัวยางรุ่นใหม่ มิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ยางในกลุ่มรถบรรทุกและรถโดยสาร ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานกับรถโค้ชโดยเฉพาะ มีการใช้เทคโนโลยีที่โดดเด่นของมิชลินในการเพิ่มการขับขี่ที่ปลอดภัย ให้ความนุ่มสบาย และความทนทานต่อความเสียหายจากสภาพถนน รวมถึงความร้อนอันเกิดจากการใช้งานที่ยาวนาน เช่นการขับขี่เดินทางไกล

ด้วยนวัตกรรมใหม่ในยาง มิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซด จะช่วยให้ผู้ประกอบการและผู้ขับขี่สามารถวางใจในทั้งสมรรถนะความปลอดภัยและการควบคุมที่เป็นเยี่ยม ในขณะที่ยังให้ความนุ่มเงียบสำหรับผู้โดยสาร ยางรุ่นนี้ได้รับการออกแบบเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนด้วยความประหยัดน้ำมันที่มากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากนวัตกรรมการออกแบบโครงสร้างยางและสูตรเนื้อยางใหม่ ที่ช่วยให้ยางประหยัดพลังงานได้โดยที่ไม่ลดทอนอายุการใช้งานและความทนทานลงไป
“เป้าหมายหลักในการออกแบบยาง มิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซด คือ ต้องสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการรถโค้ชในปัจจุบันได้อย่างตรงจุด ซึ่งประเด็นหนึ่งของการขนส่งผู้คนนั้น ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้โดยเด็ดขาด ดังนั้น มิชลินจึงให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยเป็นอย่างมากจนถือเป็นคุณลักษณะสำคัญที่จะพบได้ในผลิตภัณฑ์ยางของมิชลินทุกรุ่น และนอกเหนือจากความปลอดภัยที่ผู้โดยสารจะได้รับแล้ว ผู้โดยสารจะต้องสามารถเพลิดเพลินไปกับการเดินทาง โดยสัมผัสได้จากสมรรถนะของยางที่ให้ความนุ่มและเงียบ และในอีกประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องการคือ ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านราคาที่คุ้มค่า ซึ่ง มิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซด สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ด้วยสมรรถนะของยางที่ให้ความประหยัดน้ำมัน และสามารถลดเวลาการหยุดวิ่งเพื่อการซ่อมบำรุง ในขณะที่ยังให้ระยะการใช้งานที่ยาวนาน”
สมรรถนะรอบด้านที่รวมอยู่ในยาง มิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซด เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ MICHELIN Total Performance ซึ่งสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าผู้โดยสารและลูกค้าของเราจะมีความพึงพอใจสูงสุดเมื่อได้ใช้และโดยสารไปกับยางจากมิชลิน



คุณสมบัติที่โดดเด่นของ มิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซด
• ความปลอดภัยสูงสุด: หน้ายางทนทานต่อการกระแทกมากกว่ายางรุ่นก่อนหน้าถึง 20%* (ผลจากการทำสอบภายใน)
• อายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น: มีโครงสร้างยางที่ทนทานขึ้นถึง 20%* ด้วยการเสริมความแข็งแรงที่ลวดขอบยาง และหน้ายาง ผลลัพธ์คือการเพิ่มโอกาสในการส่งโครงยางของมิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซด ไปหล่อดอกได้มากขึ้น จึงทำให้โครงยางมีมูลค่าสูงขึ้น เป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
• ประหยัดน้ำมัน: การออกแบบโครงสร้างและหน้ายางแบบใหม่ที่ลดแรงต้านการหมุน รวมทั้งเนื้อยางสูตรใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันขึ้นถึง 8%** เมื่อเปรียบเทียบกับยางเรเดียลทั่วไป ความสามารถในการลดแรงต้านการหมุนเป็นอีกหนึ่งสมรรถนะสำคัญของผลิตภัณฑ์ยางจากมิชลิน ที่ทำให้ผู้ใช้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากรถที่ขับขี่
(NB: * ผลการทดสอบภายในเปรียบเทียบกับ 295/80 R22.5 XZA2+ Energy)
** ผลการทดสอบภายในเปรียบเทียบกับยางเรเดียลทั่วไป ขนาด 295/80 R22.5
มิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซด ยางที่ไม่ใช้ยางใน (tubeless) สำหรับใช้งานทุกตำแหน่งล้อ จะมีจำหน่ายในขนาด 295/80 R22.5 ในประเทศไทยกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2557 เป็นต้นไป

รายการผลิตภัณฑ์ยางรถบรรทุกจากมิชลิน
ผังรายการผลิตภัณฑ์ยางรถบรรทุกและรถโดยสารใหม่
มิชลินได้ปรับเซกเมนต์และชื่อกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางสำหรับรถบรรทุกและรถโดยสารใหม่ตามลักษณะการใช้งานจริงของยางแต่ละประเภทเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ด้วยแนวทาง "การเลือกยางให้เหมาะกับงาน" จะช่วยให่ผู้ประกอบการขนส่งใช้งานยางได้อย่างเต็มประสิทธิภาพิ และสามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัย อายุการใช้งาน และใช้เชื้อเพลิงอย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด
ยางรถบรรทุกและรถโดยสารจากมิชลินแบ่งเป็น 6 ตระกูล ดังนี้
• MICHELIN X® Line เพื่อการใช้งานบนถนนเรียบวิ่งทางไกล เช่น ถนนไฮเวย์หรือถนนสายหลัก
• MICHELIN X® Multi เพื่อการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งบนถนนเรียบทางตรง และทางคดเคี้ยว
• MICHELIN X® Coach สำหรับรถโดยสารโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัย นุ่มเงียบและประหยัดพลังงาน
• MICHELIN X® Works เพื่อการใช้งานทั้งบนถนนเรียบและถนนขรุขระ เหมาะสำหรับใช้งานกับรถดัมพ์ และรถผสมคอนกรีต
• MICHELIN X® InCity เพื่อการใช้งานสำหรับรถโดยสารและรถบรรทุกที่วิ่งในเมือง
• MICHELIN X® Force เพื่อการใช้งานนอกถนน หรือถนนขรุขระเป็นหลัก เช่น ในเหมือง

การจัดเซกเมนต์ใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ได้ถูกต้องเหมาะสมกับการใช้งานและธุรกิจมากขึ้น
ข้อมูลและตัวเลขต่างๆ
1 - มิชลินมีศูนย์เทคโนโลยีเซ็นเตอร์ที่มีขอบเขตการค้าคว้าวิจัยเป็นหนึ่งเดียว ในศูนย์ทั้ง 3 แห่งใน 3 ทวีป ทั้งในอเมริกาเหนือ เอเซีย และยุโรป
1 - ระยะทางการทดสอบเทียบเท่ากับการวิ่งรอบโลก 1 รอบในทุกๆ 12 นาทีของการทดสอบเอนดูแรนซ์และอายุการใช้งานของยางมิชลินทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นยางสำหรับรถยนต์ รถบรรทุก รถเหมือง หรือรถจักรยานและจักรยานยนต์ คิดเป็นระยะทางรวมกว่า1.8 ล้านกิโลเมตรต่อปี
4 - มิชลินทำการทดสอบสมรรถนะของยางรวม 4 แนวทาง
• การทดสอบในห้องทดลอง สำหรับวัตถุดิบ และวัสดุระหว่างกระบวนการผลิต
• การทดสอบบนเครื่องทดสอบ
• การทดสอบขับขี่พร้อมอุปกรณ์วัด และประเมินผลโดยผู้เชี่ยวชาญ บนถนนจริงและในสนามทดสอบ
• การทดสอบใช้งานจริงโดยลูกค้า
80 - เป็นช่วงอุณหภูมิ หน่วยเป็นองศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในการทดสอบบนเครื่องทดสอบของมิชลิน ที่สามารถวิเคราะห์สมรรถนะยางในช่วงอุณหภูมิ -30°C ถึง +50°C ที่ความเร็วสูงถึง 450 กม./ชม.
350 - คือจำนวนของผู้เกี่ยวข้องตามสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ในกระบวนการวิจัยและพัฒนาทั้งหมด ได้แก่นักวิจัย วิศวกร นักพัฒนา นักไทรโบโลจิสต์ (วิชาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาการขัดสี ขัดถู ลื่นไหล เคลื่อนไปมาของชิ้นส่วนอุปกรณ์ประเภทต่างๆ) ผู้เชี่ยวชาญกลศาสตร์ ผู้ชำนาญด้านโสตศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยา นักปฐพีวิทยา นักโลหะวิทยา นักทดสอบ และเจ้าหน้าที่เทคนิคต่างๆ
400 - จำนวนเครื่องมือการทดสอบแบบจำลอง (simulation tools) ที่ใช้งานในมิชลิน
592 - จำนวนเงิน ในหน่วยล้านยูโร ที่มิชลินลงทุนในการวิจัยและพัฒนาในแต่ละปี
700 - จำนวนครั้งของการวัดผลและวิธีดำเนินการทดสอบที่ได้รับการรับรองมาตรฐานที่มิชลินใช้ในการทดสอบของมิชลิน ตั้งแต่การวิเคราะห์ระดับนาโน ไปจนถึงการทดสอบบนยางขนาดยักษ์ใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 4 เมตร และหนักมากกว่า 5 ตัน
6,000 - จำนวนทีมงานในกระบวนการวิจัยและพัฒนาของมิชลิน
1.5 ล้าน - จำนวนครั้งของการวัดค่าวัดผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในห้องทดลองของมิชลิน สำหรับทั้งวัตถุดิบ และวัสดุระหว่างกระบวนการผลิต (ส่วนผสมยางต่างๆ และชินส่วนโลหะ และสิ่งทอ)

การค้นคว้าวิจัย และนวัตกรรม คือดีเอ็นเอของมิชลิน
การวิจัยและพัฒนาคือแรงผลักดันสู่ความเติบโตของมิชลิน นวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการนำทางทีมงานนักวิจัย วิศวกร และนักเคมีทั้ง 6,000 คนทั่วโลก ซึ่งมุ่งเน้นในเรื่องวัตถุดิบ การออกแบบ พัฒนาเพื่อการผลิตยางสำหรับอนาคต และเป็นวิสัยทัศน์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของมิชลินที่มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้า
การวิจัยต่างๆ เหล่านี้ครอบคลุมเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่การทำความเข้าใจในหลักการขั้นพื้นฐานเชิงฟิสิกส์และเคมีเพื่อที่จะสร้างและดำเนินการทดสอบยางต้นแบบ และรวมไปถึงสร้างความมั่นใจให้กับกระบวนการผลิต มากไปกว่านั้นการที่เรามีศูนย์วิจัยพัฒนาที่พร้อมในทั้งสามทวีป ทำให้ทีมงานสามารถที่จะพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการใช้งานจริงในภูมิภาคนั้นได้อย่างดี ระบบการทำงานเช่นนี้ยังรวมไปถึงการสร้างพันธมิตร และเข้าร่วมในองค์กรความร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำต่างๆ ทำให้สามารถที่จะเข้าถึงองค์ความรู้และสามารถสร้างศักยภาพที่จำเป็นได้อย่างดีเยี่ยม

ก้าวสำคัญของมิชลิน
เป็นเวลากว่าศตวรรษ ที่มิชลินได้ทุ่มเททุกความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนเพื่อยานยนต์ทั่วโลก
1889: ก่อตั้งขึ้นในนามMichelin et Cie.
1891: มิชลินจดสิทธิบัตรยางที่ถอดและซ่อมได้เป็นครั้งแรก
1895: มิชลินเปิดตัว Éclair รถยนต์คันแรกที่ติดตั้งยางที่เติมลมได้
1898: กำเนิด บีเบนดัม หรือมิชลินแมน
1900: ตีพิมพ์มิชลินไกด์เป็นครั้งแรก.
1905: เปิดตัวยางมิชลินที่มีปุ่มตะปูที่เพิ่มสมรรถนะการยึดเกาะถนนและความทนทาน
1910: ตีพิมพ์แผนที่มิชลิน สัดส่วน 1 ต่อ 200,000 เป็นครั้งแรก
1913: มิชลินคิดค้นล้อเหล็กที่ถอดได้
1923: ยางรถยนต์ความดันต่ำเส้นแรก (2.5 bar).
1926: มิชลินผลิตหนังสือแนะนำท่องเที่ยว กรีนไกด์ (Green Guide) สำหรับนักท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก
1930: มิชลินจดสิทธิบัตรยางชนิดมียางในในตัว
1938: มิชลินเปิดตัว Metallic ยางรถบรรทุกที่มีโครงสร้างเป็นโลหะเป็นครั้งแรก
1946: มิชลินคิดค้นยางเรเดียล
1952: มิชลินคิดค้นยางเรเดียลสำหรับรถบรรทุก
1959: มิชลินเปิดตัวยางเรเดียลสำหรับรถเหมืองเป็นครั้งแรก
1979: ยางมิชลินเรเดียลชนะการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน
1981: เปิดตัวยาง MICHELIN Air X ยางเรเดียลสำหรับอากาศยานเป็นครั้งแรก
1992: เปิดตัวยางประหยัดน้ำมัน MICHELIN ENERGY™ เป็นครั้งแรก
1993: คิดค้นเทคโนโลยีการผลิตยางแบบใหม่ C3M
1995: กระสวยอวกาศของสหรัฐอเมริกาลงจอดด้วยยางมิชลิน
1996: มิชลินคิดค้นยางระบบ PAX System เสริมความแข็งแกร่ง สามารถวิ่งต่อได้แม้ยางแบนกระทันหัน
1998: การจัดงานMichelin Challenge Bibendum ครั้งแรก เป็นกิจกรรมจัดแสดงยานยนต์สะอาดระดับ
นานาชาติ
1998: วันเกิดครบรอบ 100 ปีของมิชลินแมน
2000: มิชลินแมนได้รับเลือกเป็นโลโก้ที่ดีที่สุดตลอดกาล โดยคณะกรรมการระดับนานาชาติ
2001: มิชลินนำยางรถเหมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกสู่ตลาด
2003: เปิดตัวสินค้าอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์ ในแบรนด์ MICHELIN
2004: เปิดตัวสโลแกนใหม่ "มิชลิน สู่การขับเคลื่อนที่ดีกว่า"
2004: เปิดตัวMICHELIN XeoBib, ยางความดันต่ำสำหรับยานยนต์ด้านการเกษตร เป็นครั้งแรก
2005: มิชลินได้เปิดตัวยางสำหรับเครื่องบินแอร์บัส A-380, เปิดตัวยาง MICHELIN Power Race ยาง
สำหรับการแข่งขันที่มี 2 สูตรยาง ที่สามารถใช้งานบนถนนได้
2006: มิชลินปฏิวัติวงการยางรถบรรทุกด้วยMICHELIN Durable Technologies.
2007: เปิดดตัวMICHELIN ENERGY™ Saver tyre ยางที่ประหยัดน้ำมันได้ 0.2 ลิตรต่อ 100 กม. ลด
การปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ได้ถึง 4 กรัม ต่อ กม
2010: เปิดตัว MICHELIN Pilot Sport 3 และMICHELIN Pilot Super Sport
2013: เปิดตัว MICHELIN Primacy 3 ST ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย
2012: เปิดตัวMICHELIN X® LINE ENERGY™ ยางสำหรับรถบรรทุกเดินทางไกล
2013: เปิดตัวมิชลิน เอ็กซ์ โค้ช เอนเนอจีย์ แซดสำหรับรถโค้ช

ตัวเลขสำคัญของมิชลินกรุ๊ป
ก่อตั้งบริษัท : ปี 1889
ฐานการผลิต : 67 แห่งใน 17 ประเทศ
จำนวนพนักงาน : 111,200 คน ทั่วโลก
ศูนย์เทคโนโลยี : นักวิจัยกว่า 6,000 คน ใน 3 ทวีป ได้แก่ อเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเซีย
งบประมาณวิจัยและพัฒนา : 592 ล้านยูโร ต่อปี
ปริมาณการผลิตต่อปี: 176 ล้านเส้นต่อปี, ยอดจัดจำหน่ายแผนที่และไกด์มากกว่า 10 ล้านฉบับ ในมากกว่า 170 ประเทศ และการใช้บริการผ่าน ViaMichelin กว่า 875 ล้านครั้ง
ยอดขายสุทธิในปี 2012 21,500,000,000 ยูโร