ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่ม บริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด หรือ เอ็มจีซี-เอเชีย เปิดเผยว่า หลังจากที่ในปี 2015 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ทำการปรับโครงสร้างธุรกิจให้ชัดเจน โดยแยกออกเป็น 8 กลุ่มธุรกิจหลัก เพื่อเติมเต็มศักยภาพในการเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจสินค้าระดับลัคชัวรี่ส์เซ็กเมนต์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการรองรับธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการที่มีมูลค่าต่อปีกว่า 2 ล้านล้านบาท

“จากการที่เอ็มจีซี-เอเชีย ได้กำหนดเป้าหมาย Vision 2020 ในการที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ในประเทศไทยนั้น จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้วางรากฐานของการเติบโตในธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ในทุกๆ ด้าน เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน สามารถรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยในปี 2015 ที่ผ่านมา แม้จะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศค่อนข้าง มาก ตัวเลขรายได้รวมของกลุ่มบริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จผ่านระดับ 21,500 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตราว 30% เมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการของปี 2014 และสำหรับปี 2016 นี้ บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตของกลุ่มธุรกิจของบริษัทไว้ที่ 15%
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา (2013-2015) เอ็มจีซี-เอเชียได้มีการเจริญเติบโตอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ Synergy Growth Strategy ทำให้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปี ซึ่งถือว่าธุรกิจของบริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคง ผ่านการทำงานสอดประสานกันของทั้ง 8 กลุ่มธุรกิจของบริษัท เพื่อรองรับการเติบโตสู่เป้ารายได้ 50,000 ล้านบาทตามวิชั่น 2020 ที่วางไว้”
นอกจากการสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจในกลุ่มต่างๆ แล้ว บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นในการสานต่อแผนงานตามวิชั่นปี 2020 นั่นคือการรุกขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนอย่างจริงจัง เพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรีเต็มรูปแบบภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ด้วยการศึกษาแผนการขยายไลน์สินค้าและบริการของธุรกิจในเครือเอ็มจีซี-เอเชียที่จะทำการขยายไปยังภูมิภาคพื้นนี้ในอนาคตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
จากการเปิดการค้าเสรีฯ ในอาเซียนเมื่อต้นปี 2016 ที่ผ่านมา ทำให้มีกลุ่มทุนธุรกิจยานยนต์ต่างชาติเข้ามาลงทุนธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ในประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจที่มีศักยภาพของบริษัทฯ ไปยังภูมิภาคอาเซียนได้เช่นกัน อาทิ กลุ่มธุรกิจรถเช่าภายใต้แบรนด์ ”ซิกท์” ที่นอกจากการที่บริษัทประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวภายใต้แบรนด์ ”ซิกท์ ลาว” แล้วนั้น บริษัทฯยังได้ขยายการลงทุนของธุรกิจ ”ซิกท์” สู่ประเทศมาเลเซียเป็นที่เรียบร้อย นอกจาก นั้น บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการขยายการลงทุนสู่ประเทศเวียดนาม เดินหน้าสู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในกลุ่มอาเซียน และกำลังเตรียมขยายธุรกิจอาฟเตอร์มาร์เก็ตเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียนต่อไป เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา เอ็มจีซี-เอเชียได้ปรับองค์กรในทุกมิติให้สอดคล้องกับการเติบโตในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาบุคลากรภายในองค์กร การเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถแต่ละธุรกิจ รวมถึงการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทุกมิติ

สำหรับการลงทุนในประเทศ ในปีนี้ เอ็มจีซี-เอเชีย มีนโยบายลงทุนเพิ่มประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อทำการเปิดโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการเมกกะโปรเจ็คในนาม "เอ็มจีซี-เอเชีย ออโต้เพล็กซ์ @ ภูเก็ต" ที่ประกอบด้วย โชว์รูม โรลส์-รอยซ์, แอสตัน มาร์ติน, เรือยอร์ชอาซิมุท , บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ, รถยนต์มือสอง, ศูนย์ซ่อมสีและตัวถังครบวงจร รวมถึงการขยายธุรกิจทั้งในส่วนฟลีทรถเช่าและสาขาของ MMS ซึ่งพร้อมที่จะเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ นอกจากนั้นบริษัทกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโชว์รูมและศูนย์ บริการหลังการขายแห่งใหม่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ภายใต้ "เอ็มจีซี-เอเชีย ออโต้เพล็กซ์ @ หาดใหญ่" ซึ่งจะเป็นโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการของ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และฮอนด้า รวมถึงรถยนต์มือสอง, ศูนย์ซ่อมสีและตัวถังครบวงจรอีกด้วย ทางบริษัทคาดว่าก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 นี้ โดยที่ทั้ง 2 โครงการนี้ ถือเป็นคอมเพล็กซ์ออโต้ซิตี้แห่งแรกในประเทศไทย
ในส่วนของกลุ่มธุรกิจรถยนต์ใหม่รถในกลุ่มรถอัลตร้า ลัคชัวรี่ส์ เซ็กเมนต์ โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก ประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากการเปิดตัวรถรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น 1 รุ่นคือ แฟนธอม ดรอปเฮด คูเป้ วอเทอร์สปีด คอลเลคชั่น ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสถานที่เปิดตัวสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อีกทั้งยังได้รับการตอบรับอยางดีจากรุ่น “โกสท์ ซีรี่ส์ II และเรธ” ทำให้ โรลส์-รอยซ์ตอกย้ำการเป็นผู้กำหนดทิศทางตลาดรถยนต์ในกลุ่มอัลตร้า ลัคชัวรี่ส์ เซ็กเมนต์อย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ทางกลุ่มเอ็มจีซี เอเชีย ซึ่งได้รับความไว้วางใจจาก บริษัท แอ-สตัน มาร์ติน ลากอนดา จำกัด แห่ง สหราชอาณาจักร ให้เป็นผู้ถือสิทธิการนำเข้าและจัดจำหน่ายภายใต้ แอสตัน มาร์ติน แบงคอก รายแรกในรอบกว่า 100 ปีของการก่อตั้งบริษัท และรายเดียวในประเทศไทย ในตลาดรถยนต์สปอร์ตระดับไฮ ลัคชัวรี่ส์ สปอร์ต นั้นได้รับผลตอบรับอย่างดีจากการเปิดตัวรถยนต์ 3 รุ่นในตลาดไทยในปีที่ผ่านมา อาทิ รุ่นแวนควิช และดีบี 9 รุ่น Carbon Edition เปิดตัวครั้งแรกในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ , แวนเทจ (Vantage) N430 และ ดีบี 9 จีที บอนส์ อิดิชั่น” ประการสำคัญคือการสานต่อนโยบายของ มร.แอนดรู พาล์มเมอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา จำกัด ที่มาเยือนประเทศไทยเมื่อต้นปี 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งมร.แอนดรูได้กล่าวถึงนโยบายและแผนงานที่จะมอบหมายให้ แอสตัน มาร์ตินแบงคอก ช่วยดูแลตลาดเวียดนาม พม่าและกัมพูชาในอนาคต เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของบริษัทหลังจากที่ดำเนินธุรกิจมาเพียง 1 ปี อีกทั้งมั่นใจในวิสัยทัศน์และเครือข่ายในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มเอ็มจีซี – เอเชีย โดยอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดถึงแนวทางในการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ

สำหรับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ ภายใต้การดำเนินงาน บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ จำกัดได้เพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการให้บริการควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการหลังการขายเพื่อให้ตอบสนองและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับกลุ่มลูกค้าทุกราย จึงส่งผลให้มียอดจำหน่ายเติบโตกว่า 4,500 คัน ในส่วนมินิซึ่งเป็นปีที่ 3 ที่มีการเปิดตัวรถรุ่นประกอบในประเทศ (ซีเคดี) ยังคงได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยในปีนี้ มิลเลนเนียม ออโต้ฯ มีนโยบายลงทุนเพิ่มประมาณ 700 ล้านบาท เพื่อทำการเปิดโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการเพิ่มที่หัวเมืองใหญ่ของประเทศไทย โดยอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโชว์รูมและศูนย์บริการหลังการขายแห่งใหม่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้างเสร็จภายในไตรมาส 3 นี้ ส่วนโชว์รูมฯที่จังหวัดภูเก็ตบริษัทมีแผนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายไตรมาส 1 ของปีนี้เช่นเพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการหลังการขายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยูและมินิได้ครอบคลุมพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่สาขาในต่างจังหวัดแห่งแรกที่จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์การค้าที่สำคัญของประเทศไทยในการเปิดประตูสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ซึ่งดำเนินการไปเมื่อช่วงต้นปี 2015 ที่ผ่านมาก็มีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ คาดว่าการขยายสาขาดังกล่าว จะมีส่วนผลักดันให้ยอดขายของทั้งสองแบรนด์จะมียอดจำหน่ายรวมประมาณ 4,500-5,000 คันในปีนี้
ด้านบริษัทพัฒนาการ ฮอนด้า ออโตโมบิลจำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า ก็ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดีจากการทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2015 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งการเข้าซื้อกิจการของ บริษัทซัมมิท ฮอนด้า ออโตโมบิลในช่วงกลางปีที่ผ่านมา รวมถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของทางบริษัทแม่อย่างต่อเนื่อง และ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ฮอนด้าอันแข็งแกร่ง ส่งผลให้ยอดขายของกลุ่มปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4,735 คัน พร้อมทั้งเป้าหมาย 6,000 คันในปีนี้ และจากผลงานดังกล่าวส่งผลให้บริษัทได้รับรางวัลผู้แทนจำหน่ายที่มียอดขายต่อสาขาเกิน 1,000 คัน ถึง 3 รางวัล ซึ่งได้แก่ สาขาพัฒนาการ, สาขาหัวหมากและสาขาอุดมสุข และในขณะที่นิสสันเยาวราช ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์นิสสัน ในนาม บริษัทโยโกฮามา มอเตอร์ จำกัด ซึ่งครบรอบการเปิดดำเนินการได้ 1 ปีนั้น มีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจและยังได้รับรางวัลในด้านการบริการหลังการขายในปี 2015 อีกด้วย โดยในปี 2016 นั้น บริษัทตั้งเป้ายอดขายกว่า 600 คัน
ในส่วนของกลุ่มธุรกิจรถยนต์มือสอง ภายใต้มาสเตอร์ เซอร์ทิฟายด์ ยูสคาร์ หรือ แม้จะได้รับผลกระทบจากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล แต่ก็สามารถทำยอดได้ใกล้เคียงกับเป้าที่กำหนดไว้ โดยมีจำหน่ายรวมกันกว่า 1,350 คันทั้งในกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยู, มินิ, มัลติแบรนด์และในกลุ่มรถซุปเปอร์ คาร์ส มือสอง เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีความมั่นใจในคุณภาพที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดีและการรับประกันคุณภาพหลังการขาย พร้อมตั้งเป้าจำหน่ายกว่า 1,600 คันในปีนี้

ในส่วนของกลุ่มธุรกิจรถเช่าภายใต้บริษัท มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิ่ล รวมถึง ซิกท์ ประเทศไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยฟลีทรถกว่า 6,000 คัน ทั้งในส่วนรถเช่าระยะยาว (ฟลีท)โดยมีรายได้เติบโตขึ้น 10% โดยมีหน่ายงานภาครัฐและบริษัทเอกชนให้การยอมรับในมาตรฐานการให้บริการ ในส่วนรถเช่าระสั้น ภายใต้ซิกท์ ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตกว่า 30 % ซึ่งเป็นผลมาจากการยอมรับของกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่ให้การยอมรับในการให้บริการมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีสาขาให้บริการครอบคลุมในทุกสนามบินและหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศจำนวน 21 สาขาอีกทั้งอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายเพิ่มสาขาในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ
ในส่วนของกลุ่มธุรกิจอาฟเตอร์มาร์เก็ตศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรสำหรับรถที่หมดระยะรับประกัน เอ็มเอ็มเอส-บ๊อช คาร์ เซอร์วิส ภายใต้บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส ( ประเทศไทย ) จำกัด ทำรายได้กว่า 400 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มลูกค้าให้ความมั่นใจในศักยภาพและมาตรฐานการบริการที่ครบวงจรได้มากกว่าควิกเซอร์วิสทั่วไป ซึ่งเห็นได้จากจำนวนรถลูกค้าและบริษัทรถเช่าชั้นนำที่ให้ความไว้วางใจใช้บริการกว่า 30,000 คัน ในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งมีฐานลูกค้ากว่า 60,000 คนจากการดำเนินธุรกิจมาครบ 6 ปี โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2016 นี้ จะสามารถเปิดสาขาได้ทั้งสิ้น ครบ 15 แห่ง ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดโดยตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้ไว้ที่ระดับ 500 ล้านบาท พร้อมศึกษาลู่ทางการขยายตลาดสู่ประเทศต่างๆในอาเซียน
ในส่วนธุรกิจให้คำปรึกษาและการบริการด้านประกันภัยครบวงจร ภายใต้ บริษัท แม็กซี่ อินชัวร์รัน โบรกเกอร์ จำกัด ทำเบี้ยประกันภัยกว่า 1,000 ล้านบาทเติบโตกว่า 20% จากการขยายการรับประกันภัยประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากการรับประกันภัยรถยนต์ เช่น การประกันภัยทรัพย์สิน, ประกันภัยการขยายการรับประกันรถยนต์, ประกันภัยความรับผิดทางกฎหมาย การประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ เป็นต้น โดยตั้งเป้าปีนี้ที่ระดับ 1,150 ล้านบาท พร้อมเตรียมขยายสาขาสู่จังหวัดภูเก็ต อีกทั้งเพิ่มบริการจำหน่ายประกันผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์คอีกหลายช่องทาง
ด้านธุรกิจให้บริการศูนย์สาระสนเทศ และคอลเซ็นเตอร์ หรือ i24 ได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการพัฒนากระบวนการทางธุรกิจ ในเครือบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และกำลังก้าวสู่การเป็นเซอร์วิสโพรไวเดอร์ที่ได้รับการรับรองจากบริษัทซอฟแวร์ชั้นนำของโลก

ธุรกิจส่วนสุดท้ายในนาม มาสเตอร์ ออโตโมทีฟเทรนนิ่งเซ็นเตอร์นอกจากได้มีการอบรมพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรทางธุรกิจ จัดหลักสูตรฝึกอบรมให้กับบุคลากรภายนอกที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์โดยล่าสุดหลังการเปิดหลักสูตรมินิเอ็มบีเอ (Mini MBA) รุ่นที่ 1 ร่วมกับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้เปิดเป็นโรงเรียนชื่อ ”มาสเตอร์ ออโตโมทีฟ ธุรกิจยานยนต์” ซึ่งได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการอย่างเป็นทางการ เพื่อรองรับงานด้านการพัฒนาบุคคลากรแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น
ในปี 2016 นี้ การขยายธุรกิจไปยังอาเซียนจะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของธุรกิจรถเช่า ภายใต้บริษัท มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิ่ล และ ซิกท์ ที่จะทำการขยายสาขาไปยังประเทศมาเลเซียและเวียดนาม ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจอาฟเตอร์มาร์เก็ต ภายใต้ เอ็มเอ็มเอส ก็จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการขยายธุรกิจสู่ภมิภาคอาเซียนทั้งในส่วนของศูนย์เซอร์วิสและศูนย์การกระจายสินค้าไปยังภูมิภาค
โดยสรุปแล้ว ทางบริษัทได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของกลุ่มเอ็มจีซี เอเชียในปี 2016 นี้ คาดว่าธุรกิจของกลุ่มบริษัทจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปี 2015 โดยมีปัจจัยสนับสนุนด้านต่างๆ อาทิ การเปิดเอ็มจีซี-เอเชีย ออโต้เพล็กซ์ @ ภูเก็ต และ @หาดใหญ่ การขยายสาขาและธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน อาทิเช่น Sixt ลาว และมาเลเชีย อย่างเต็มรูปแบบ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ และการขยายเครือข่ายทางธุรกิจผ่านบริษัทในเครือกลุ่มเอ็มจีซี-เอเชีย ทั้งหมด จะทำให้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการในพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญของประเทศและในกลุ่มอาเซียน