บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศยอดการส่งออกรถยนต์ฮอนด้าและชิ้นส่วนยานยนต์จากประเทศไทยในปี 2558 มีมูลค่าทั้งสิ้น 83,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปี 2557 เนื่องจากความนิยมในรถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ ในประเทศเม็กซิโก และฮอนด้า เอชอาร์-วี ในประเทศออสเตรเลียที่เพิ่มสูงขึ้น การส่งออกที่เติบโตในปี 2558 นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในระดับโลกของรถยนต์ฮอนด้าที่ผลิตในประเทศไทย
ยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของฮอนด้าตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม 2558 เติบโตขึ้น 44% ด้วยมูลค่า 37,994 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2557 ปัจจัยหลักของการเติบโตอย่างต่อเนื่องในครั้งนี้ คือ ความต้องการในตลาดประเทศต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น ประเทศออสเตรเลียและเม็กซิโก โดยรถยนต์รุ่นที่มีการส่งออกสูงสุด ได้แก่ รถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ เอชอาร์-วี และซีอาร์-วี รวมคิดเป็นประมาณ 70% ของจำนวนรถยนต์ส่งออกทั้งหมด
สำหรับการส่งออกชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์นั้น ฮอนด้ามียอดเพิ่มขึ้น 5% คิดเป็นมูลค่า 40,450 ล้านบาท เนื่องจากมีความต้องการชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์สำหรับการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศของโรงงานฮอนด้าในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และอินเดีย
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ยอดการส่งออกรถยนต์ฮอนด้าและชิ้นส่วนยานยนต์จากประเทศไทยประจำปี 2558 สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของรถยนต์ฮอนด้าหลายรุ่น เช่น เอชอาร์-วี และแจ๊ซ รวมถึงความสำเร็จด้านยอดขายในแต่ละประเทศที่นำเข้ารถยนต์ฮอนด้าไปจำหน่ายอีกด้วย”
นอกจากนี้ ฮอนด้ายังส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่ อุปกรณ์ตกแต่ง และแม่พิมพ์ สำหรับสายการผลิตรถยนต์อีกด้วย โดยมียอดการส่งออกเติบโตขึ้น 30% คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,422 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศมาเลเซีย ออสเตรเลีย และอินเดีย
“ปัจจุบัน ฮอนด้ามีการผลิตรถยนต์เพื่อรองรับตลาดในประเทศและการส่งออก ณ โรงงานผลิตรถยนต์ ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และภายในปีนี้ ฮอนด้าจะเริ่มเดินสายการผลิต ณ โรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นโรงงานที่มีความทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดแห่งหนึ่งของฮอนด้าในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย โดยโรงงานแห่งนี้สามารถรองรับการดำเนินงานด้านการผลิตและการส่งออก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกในอนาคต” นายพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติม