บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยโฉม “สปิน” รถอเนกประสงค์เอ็มพีวีรุ่นใหม่ล่าสุดครั้งแรกในประเทศไทย เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ ความกว้างขวาง รองรับทุกการใช้งาน ความประหยัดและรูปลักษณ์อันโดดเด่นสำหรับลูกค้าชาวไทยที่งานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2012 ครั้งที่ 29
เชฟโรเลต สปิน ซึ่งมีกำหนดออกจำหน่ายในประเทศไทยและอินโดนีเซียในปี 2556 ไม่เพียงจะเป็นการบุกเบิกเซกเมนท์ใหม่ล่าสุดของเชฟโรเลต เท่านั้น แต่ยังจะช่วยยกระดับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ความต้องการใช้รถเอ็มพีวี อย่างสปิน กำลังปรับตัวสูงขึ้น
สปิน เป็นอีกหนึ่งผลงานของทีมนักออกแบบของเชฟโรเลต ในระดับโลกที่หลีกเลี่ยงการดีไซน์เอ็มพีวีเพื่อตอบสนองการใช้งานแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนกับรถเอ็มพีวีรุ่นอื่นๆ ทั่วไปในตลาด แต่เส้นสายอันทรงพลังและดีไซน์ที่โดดเด่น ทำให้สปิน มีสัดส่วนอันเป็นเอกลักษณ์ ดึงดูดทุกสายตาและมีสไตล์เฉพาะตัว สืบทอดเจตนารมณ์ของเชฟโรเลต ในการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่มีการออกแบบอันล้ำสมัยมาอย่างต่อเนื่อง สปิน มาพร้อมกับดีเอ็นเอของเชฟโรเลต อย่างแท้จริงซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าชาวไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี เส้นสายด้านข้างอันคมคายและสันขอบตัวถังที่ค่อนข้างสูงช่วยขัดเน้นภาพลักษณ์อันสมบุกสมบันและเพิ่มความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์
ด้วยระยะฐานล้อที่ 2,620 มม. ทำให้ห้องโดยสารของสปิน สามารถรองรับผู้โดยสารห้าถึงเจ็ดที่นั่ง มีเนื้อที่บรรทุกสัมภาระได้สูงสุด 1,668 ลิตรและถังน้ำมันความจุ 53 ลิตร สปิน เป็นคำตอบที่ดีที่สุดของลูกค้าที่ต้องการเนื้อที่อันกว้างขวางยิ่งกว่ารถยนต์นั่งทั่วไปแต่ไม่ประสงค์ใช้รถที่มีขนาดใหญ่อย่างเอสยูวี เป็นรถที่เหมาะสำหรับตลาดประเทศไทยซึ่งการรองรับผู้โดยสารและบรรทุกสัมภาระเป็นสิ่งจำเป็น พร้อมตอบโจทย์คนที่มีครอบครัวและเพื่อนฝูงที่สนุกสนานในการใช้ชีวิต
นอกเหนือจากการรองรับผู้โดยสารเจ็ดที่นั่งแล้ว การจัดโครงสร้างเบาะแบบโรงภาพยนตร์ยังช่วยให้ผู้โดยสารมองเห็นทัศนวิสัยได้อย่างชัดเจนพร้อมกับมีพื้นที่ใช้งานสูงสุด เบาะที่นั่งสามารถปรับได้ 23 รูปแบบ การจัดวางอุปกรณ์ในห้องโดยสาร แผงมาตรวัดและช่องเก็บของที่มี 32 จุดเป็นไปตามหลักสรีระศาสตร์ในระดับโลกเพื่อการใช้งานอย่างสะดวกง่ายดาย สปิน เป็นรถที่เหมาะสมทั้งการพาครอบครัวไปรับประทานอาหารค่ำในเมืองหรือการพาเพื่อนฝูงเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัด
สปิน ไม่เพียงตอบสนองการใช้งานในเมือง แต่พื้นที่ในห้องโดยสารอันกว้างขวางยังมากเกินพอที่จะบรรทุกสัมภาระหรืออุปกรณ์ต่างๆ เมื่อจำเป็นอีกด้วย
ความมุ่งมั่นของนักออกแบบและวิศวกรของเชฟโรเลต ที่ต้องการหลีกหนี “โครงสร้างอันน่าเบื่อ” ของรถเอ็มพีวีแบบเดิมยังสะท้อนมาถึงภายในห้องโดยสาร การใช้วัสดุที่ลดทอนเสียงรบกวน ทั้งแผงปะเก็นเพิ่มความกระชับ แผ่นยางและชิ้นส่วนปิดคลุมด้านใน ทำให้สปิน มีความเงียบในห้องโดยสารอย่างดีเยี่ยม พร้อมกับตกแต่งด้วยวัสดุอันหรูหรา
บรรยากาศความหรูหราในห้องโดยสารยังเกิดจากการใช้แผงคอนโซลแบบทูโทน การใช้วัสดุสีเงินและโครเมียมบริเวณที่เปิดประตู พวงมาลัย แผงควบคุมระบบปรับอากาศ หัวเกียร์ เบรกมือและช่องแอร์อีกด้วย
แผงมาตรวัดของสปิน ยังคงใช้ฟอนท์ตัวอักษรที่โดดเด่นและสีฟ้าไอซ์บลูตามเอกลักษณ์เฉพาะของเชฟโรเลต พร้อมเพิ่มความทันสมัยด้วยการใช้มาตรวัดความเร็วแบบตัวเลขดิจิตอลและวัดรอบเครื่องยนต์แบบเข็มอนาล็อก รองรับการเชื่อมต่อด้วยพอร์ทยูเอสบี
พื้นที่ใต้ฝากระโปรงหลังของสปิน รองรับการบรรทุกได้อย่างเต็มที่ สามารถขนต้นไม้ที่มีความสูงหรือจักรยานได้โดยไม่ต้องแยกชิ้นส่วน ไม่มีปัญหาสำหรับการขนถุงช็อปปิ้งแต่อย่างใด หากปรับเบาะให้รองรับผู้โดยสารเจ็ดที่นั่ง เนื้อที่บรรทุกสัมภาระจะอยู่ที่ 162 ลิตร ถ้าปรับเบาะเหลือห้าที่นั่งจะเพิ่มเนื้อที่เป็น 710 ลิตร แต่ถ้าหากพับเบาะแถวที่สองและสามลง จะสามารถขยายเนื้อที่ได้สูงสุดถึง 1,668 ลิตร ซึ่งมากกว่ารถซีดานที่มีตัวถังใหญ่กว่าสปิน สองเท่า ขณะเดียวกันสปิน ยังมาพร้อมกับความสะดวกสบายห้องโดยสารที่เงียบและการขับขี่ดุจดังรถยนต์นั่ง
นอกเหนือจากคุณภาพการออกแบบและพื้นที่ในห้องโดยสารแล้ว สมรรถนะและเสถียรภาพการขับขี่ก็เป็นจุดแข็งของสปิน เช่นกัน ด้วยการปรับช่วงล่างที่เหมาะสม ถึงแม้จุดศูนย์ถ่วงของตัวรถจะมสูงกว่ารถซีดานทั่วไปเล็กน้อย แต่สปิน ก็มอบเสถียรภาพและความสะดวกสบายเหมือนกับรถซีดาน รองรับการขับขี่อย่างมั่นใจทั้งบนถนนทางไกลและทางคดเคี้ยวในต่างจังหวัด
ตำแหน่งเบาะที่นั่งคนขับที่ค่อนข้างสูง ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัย อุ่นใจและทัศนวิสัยที่ชัดเจนที่สุด ขณะที่ขุมพลังขับเคลื่อนและรายละเอียดทางเทคนิคจะได้รับการเปิดเผยอีกครั้งเมื่อเปิดตัวออกจำหน่ายในปีหน้า
สปิน เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญของเชฟโรเลต ที่มาพร้อมคุณสมบัติเด่นครบครัน ทั้งการออกแบบอันยอดเยี่ยม ความยืดหยุ่นในการใช้งาน ความปราดเปรียวของสมรรถนะ ความกว้างขวางภายในและความประหยัดน้ำมันอัดแน่นอยู่ในรถที่มีขนาดเหมาะสมสำหรับการใช้งานฝ่าจราจรคับคั่งในเมืองใหญ่ของประเทศไทยและรองรับต่อไลฟ์สไตล์ของคนไทยได้เป็นอย่างดี ตอบโจทย์คอรถยนต์ในเมืองที่ต้องการยานยนต์เจ็ดที่นั่ง เชฟโรเลต เชื่อมั่นว่าสปินจะตอบสนองเซกเมนท์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์อันทันสมัยและครอบคลุม ตั้งแต่รถขนาดซับคอมแพกต์ คอมแพกต์ รถกระบะขนาดกลาง เอสยูวี และล่าสุดคือเอ็มพีวี เชฟโรเลต มุ่งเดินหน้าเต็มสูบในการเติมเต็มทุกความต้องการของลูกค้าชาวไทย
สปิน ได้รับการพัฒนาที่ศูนย์การออกแบบและวิศวกรรมของจีเอ็ม ในนครเซาเปาโล ประเทศบราซิล โดยได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์จากวิศวกรของจีเอ็ม ลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมผ่านการทดสอบอย่างเข้มข้นในสี่ทวีปทั่วโลกเพื่อให้แน่ใจว่าจะรองรับการใช้งานอย่างเต็มที่ในทุกประเทศที่ออกจำหน่าย สปิน จะขึ้นสายการผลิตที่ศูนย์การผลิตรถยนต์จีเอ็ม เบกาซี ประเทศอินโดนีเซีย
ยลโฉมยนตรกรรมรุ่นอื่นของเชฟโรเลต
ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012
นอกเหนือจากการเผยโฉม “สปิน” รถอเนกประสงค์ครั้งแรกในเมืองไทยแล้ว เชฟโรเลต ยังจัดเตรียมยานยนต์ครบทุกรุ่นออกแสดงภายในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2012 ครั้งที่ 29 ดังนี้
โซนิค ซีดานและแฮทช์แบ็ก
โซนิค เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา เป็นการผสมผสานรูปลักษณ์และการใช้งานที่ลงตัว โดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งด้วยการนำเสนอดีไซน์ที่ทันสมัย ปราดเปรียวและเส้นสายที่ดุดัน พร้อมกับสมรรถนะและการควบคุมที่ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน มุ่งดึงดูดกลุ่มลูกค้า ‘เจนเนอเรชั่น-วาย’ ในเมืองไทยที่ชอบเข้าสังคมและมีไลฟ์สไตล์ทันสมัยด้วยบุคลิกการขับขี่แบบยุโรป
โครงสร้างตัวถังแบบบีเอฟไอ (body-frame-integral – BFI) ของโซนิค มีความแข็งแกร่งและเหนียวแน่นมากที่สุดรุ่นหนึ่งในกลุ่มรถซับคอมแพ็กต์ระดับโลกซึ่งช่วยเสริมสมรรถนะการควบคุมตัวรถได้เป็นอย่างดี โซนิค พัฒนาบนแพลทฟอร์มรถขับเคลื่อนล้อหน้าระดับโลกของจีเอ็ม เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นคง เสถียรภาพและมอบความเชื่อมั่นบนทุกสภาพถนน ผู้โดยสารยังสามารถสัมผัสได้ถึงความเงียบขณะขับขี่ของโซนิค ซึ่งเหนือชั้นกว่ารถในระดับเดียวกัน
โซนิค ใช้ขุมพลังขับเคลื่อนรุ่นใหม่ของจีเอ็ม ความจุ 1.4 ลิตร รองรับเชื้อเพลิง E20 DOHC พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่ต่อเนื่อง (Double CVC) เพื่อเพิ่มพละกำลังและความประหยัดที่ดีกว่า มีการพัฒนาระบบหัวฉีดซึ่งทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับออกซิเจนเทคโนโลยีสูง ควบคุมการจ่ายน้ำมันในอัตราส่วนที่เหมาะสมเพื่อลดมลพิษไอเสีย ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด โซนิค ซีดานและแฮทช์แบ็กเข้าตามหลักเกณฑ์โครงการรถคันแรกของรัฐบาล ลูกค้าจะได้รับสิทธิภาษีคืน 100,000 บาท
เทรลเบลเซอร์
เปิดตัวในประเทศไทยเป็นแห่งแรกก่อนที่จะออกทำตลาดทั่วโลกในเดือนมีนาคม 2555 เทรลเบลเซอร์ เป็นยานยนต์ที่เชฟโรเลต ใช้บุกเบิกเซกเมนท์รถอเนกประสงค์เอสยูวี-ดี (SUV-D) มาพร้อมการรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่งและการพับเบาะแบบราบเรียบได้อย่างสะดวกง่ายดายเพื่อเพิ่มเนื้อที่บรรทุกสัมภาระ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดูราแม็กซ์ ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.8 ลิตร เทอร์โบแปรผัน ผลิตพละกำลังสูงสุด 180 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขณะเดียวกัน รุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ให้พละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร ทั้งสองเครื่องยนต์ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4
เทรลเบลเซอร์ ซึ่งพัฒนาควบคู่กับรถกระบะโคโลราโด ยังมาพร้อมกับห้องโดยสารแบบโรงภาพยนตร์ เบาะแบบ 3 แถวรองรับ 7 ที่นั่ง นอกจากจะสามารถพับเบาะให้แบนราบได้แล้วยังมีเนื้อที่ห้องโดยสารมากที่สุดในรถระดับเดียวกัน ด้วยโครงสร้างบอดี้ออนเฟรมทำให้เทรลเบลเซอร์ มีศักยภาพลุยได้ทั้งทางออนโรดและออฟโรด อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพการลากจูงน้ำหนักสูงสุดถึง 3,000 กก. (ในรุ่น 2.8 ลิตร) โดยในรุ่น 2.5 ลิตรสามารถลากจูงได้สูงสุด 2,500 กก.
เทรลเบลเซอร์ ยังโดดเด่นด้วยการใช้คอยล์สปริงทั้งสี่ล้อ ขณะที่ช่วงล่างด้านหลังเป็นระบบไฟว์-ลิงค์ ให้สมรรถนะการควบคุมที่ดีเยี่ยมทั้งบนออนโรดและออฟโรด ระบบเบรกยังถูกยกระดับด้วยการติดตั้งดิสก์เบรกสี่ล้อ ขณะที่ระบบความปลอดภัยอื่นๆในเทรลเบลเซอร์ มีทั้งควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอิเลกทรอนิก (Electronic Stability Control) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System) ระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction Control) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control) และระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน (Hill Start Assist)
โคโลราโด
เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2554 โคโลราโด เป็นผลผลิตของการพัฒนาระบบวิศวกรรมและการผลิตครั้งใหญ่ที่สุดของจีเอ็ม สะท้อนให้เห็นถึงทักษะและศักยภาพอันโดดเด่นของประเทศไทย โดยไทยนับเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำการเปิดตัวโคโลราโด ซึ่งมาพร้อมกับ 26 รุ่นย่อยที่แตกต่างกันในด้านเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน ห้องโดยสารและมิติความสูงของรถตามแต่ที่ลูกค้าต้องการ
โคโลราโด ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดูราแม็กซ์รุ่นใหม่ล่าสุดของจีเอ็ม เป็นบล็อก 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบ ให้พละกำลังและความประหยัดน้ำมันอันเหนือชั้น โดยรุ่น 2.8 ลิตร พ่วงระบบเทอร์โบแปรผัน ให้พละกำลัง 180 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (รุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีดมีแรงบิด 440 นิวตันเมตร) ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ผลิตพละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร ทั้งสองเครื่องยนต์ถูกออกแบบมาให้มีความทนทานรองรับการใช้งานได้ระยะทาง 240,000 กิโลเมตร
ด้วยการพัฒนาบนโครงสร้างบอดี้ออนเฟรมในแบบรถกระบะขนาดกลางขับเคลื่อนล้อหลังระดับโลกของจีเอ็ม โคโลราโด ได้รับการออกแบบ การพัฒนาวิศวกรรมและการผลิตให้เป็นรถกระบะที่ดีที่สุดในเซกเมนท์ ทั้งในด้านรูปลักษณ์ สมรรถนะ ความอเนกประสงค์และความประณีต ตอบสนองทุกการใช้งานทั้งบรรทุกหนักหรือเป็นรถสำหรับครอบครัวทุกไลฟ์สไตล์ โคโลราโดมาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอิเลกทรอนิก (Electronic Stability Control) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System) ระบกระจายแรงเบรกอิเลกทรอนิก (Electronic Brake-Force Distribution) ระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction Control) ระบบช่วยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก (Hydraulic Brake Assist) และระบบรักษาสมดุลขณะเบรกในโค้ง (Cornering Brake Control) รวมถึงถุงลมนิรภัยคู่หน้า สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อมาพร้อมความเร็วสองระดับควบคุมด้วยอิเลกทรอนิกแบบใหม่
เชฟโรเลต ยืนยันถึงความทรหดอดทนของรถกระบะพันธุ์แกร่งด้วยการรับประกันค่าบำรุงรักษาโคโลราโด ในช่วงสามปีแรกหรือ 100,000 กิโลเมตรอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อนไม่เกิน 19,900 บาท การรับประกันดังกล่าวเกิดขึ้นได้เพราะว่าเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ ดีเซลเทอร์โบที่ถูกพัฒนามาให้ดูแลตามระยะที่กำหนดทุก 20,000 กิโลเมตร ยาวนานที่สุดเมื่อเทียบกับรถกระบะระดับเดียวกัน โคโลราโดยังเข้าตามหลักเกณฑ์โครงการรถคันแรกของรัฐบาล ลูกค้าจะได้สิทธิคืนภาษีสูงสุด 100,000 บาท
แคปติวา
แคปติวา ได้รับการปรับโฉมครั้งสำคัญในปี 2554 มาพร้อมกับดีไซน์อันโดดเด่นสะดุดตาสอดคล้องกับดีเอ็นเอการออกแบบของเชฟโรเลต ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการติดตั้งเครื่องยนต์ E85 ถือเป็นรถเอสยูวีแบบเฟล็กซ์ฟิวรองรับเชื้อเพลิงได้หลากหลายรูปแบบรุ่นแรกในระดับนี้ที่มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
แคปติวา ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น พร้อมยังคงความอเนกประสงค์ หรูหราและดีไซน์อันโดดเด่นไว้เช่นเดิม เครื่องยนต์เบนซินรองรับเชื้อเพลิง E85 เป็นบล็อก 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร DOHC และระบบวาล์วแปรผันต่อเนื่อง ผลิตพละกำลัง 168 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิด 229 นิวตันเมตรที่ 4,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อม DSC นอกจากนี้ ยังมีโหมดขับขี่แบบ ‘ECO’ ที่ช่วยลดอัตราการบริโภคน้ำมันลงได้ในทุกสภาวะการขับขี่
เครื่องยนต์เบนซิน E85 ของแคปติวา มีศักยภาพรองรับเชื้อเพลิงได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ E0 (น้ำมันเบนซินล้วน) ไปจนถึง E10 E20 และสูงสุดคือ E85 นอกจากค่าน้ำมันที่ถูกลงแล้ว E85 ยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีความยั่งยืนมากกว่า เพราะว่าเอทานอล (ที่มีส่วนผสม 85 เปอร์เซ็นต์) สามารถผลิตได้ในประเทศไทย ช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันจากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล และยังทำให้แคปติวาเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ แคปติวายังมีขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตรให้เลือกใช้ ผลิตพละกำลังสูงสุด 163 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที
ครูซ
เชฟโรเลต ครูซ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2553 ปัจจุบัน ครูซ ถือเป็นรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเชฟโรเลต ไม่เพียงในประเทศไทยเท่านั้นแต่ยังรวมถึงทุกประเทศทั่วโลก โดยในปี 2555 ครูซ ได้รับการยกระดับเครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเดิม รวมถึงการอัดแน่นด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
ครูซ รุ่นดีเซล 2.0 ลิตร มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ DOHC ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4 ซึ่งได้รับการปรับระบบวาล์วใหม่ ให้พละกำลัง 163 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร มากที่สุดในรถระดับเดียวกัน ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบคอนมอนเรลแรงดันสูงช่วยรีดพละกำลังของเครื่องยนต์ให้มากกว่าเดิม ครูซ รุ่นปี 2012 ยังนับเป็นรถรุ่นแรกในเซกเมนท์นี้ที่ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4 และติดตั้งตัวกรองอนุภาคไอเสียดีเซล (Diesel Particulate Filter) ช่วยลดมลพิษออกสู่อากาศ
ขณะที่ครูซ รุ่น 1.8 ลิตรมาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่รองรับเชื้อเพลิง E20 ผู้ใช้จึงสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าด้วยการเติมน้ำมัน E20 ที่มีราคาถูก พร้อมกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ครูซทั้งสองเวอร์ชั่นส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ DSC ที่ให้ผู้ขับขี่ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดา ช่วงล่างเกาะถนนแน่นหนึบสไตล์ยูไรไรด์ เพิ่มความมั่นใจให้ครูซ สามารถพุ่งทะยานไปบนถนนทางไกลหรือเข้าโค้งคดเคี้ยวได้อย่างเต็มที่ นอกเหนือจากขุมพลังรุ่นใหม่แล้ว ครูซ 2012 ยังมีสีสันตัวถังแบบใหม่ รวมถึงระบบช่วยการขับขี่อย่างพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (Electric Power Steering) และระบบเชื่อมต่อไร้สายบลูทูธ ซึ่งนำเสนอให้ลูกค้าตั้งแต่ในรุ่นเริ่มต้นของทั้งเวอร์ชั่นเบนซินและดีเซล
อาวีโอ ซีเอ็นจี
อาวีโอ ซีเอ็นจี เป็นหนึ่งในรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อเสียงยาวนานที่สุดของเชฟโรเลต ได้รับการปรับปรุงทั้งในด้านพละกำลังและระบบขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มสมรรถนะและความประหยัดเมื่อปี 2553 พร้อมการติดตั้งชิ้นส่วนกันน้ำในระบบซีเอ็นจีช่วยยกระดับความทนทาน ประสิทธิภาพและความประหยัด นอกจากนี้ ยังมีตัวควบคุมแก๊สซีเอ็นจีแรงดันสูง ระบบโมดูลคอนโทรลอินเตอร์เฟซแบบใหม่ (Interface Control Module – ICM) และหน่วยประมวลผลที่ทรงพลังกว่าเดิม (16 บิท) ซึ่งทำงานอย่างเป็นอิสระจากกล่องควบคุมอิเลกทรอนิก (Electronic Control Unit – ECU) ทำให้อาวีโอ ซีเอ็นจี มีความทนทานรองรับกับคุณภาพที่แตกต่างกันของแก๊สได้มากขึ้น
อาวีโอ ซีเอ็นจี ยังได้รับการปรับปรุงเพื่อการใช้งานได้อย่างสะดวกง่ายดายกว่าเดิม อาทิ การย้ายช่องเติมแก๊สมาอยู่ใต้ฝาถังน้ำมัน (จากเดิมอยู่ใต้ฝากระโปรง) และการติดตั้งสวิทช์บนคอนโซลกลางที่ง่ายต่อการใช้งานและตรวจสอบข้อมูล การติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆจากโรงงานผลิตผนวกกับการใช้ระบบเชื้อเพลิงคู่และซอฟท์แวร์ที่พัฒนาร่วมกับจีเอ็ม เกาหลี (GMK) ทำให้อาวีโอ ซีเอ็นจี รองรับทุกการใช้งานได้อย่างเต็มที่มากขึ้นและมีสมรรถนะที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับรถที่ติดตั้งระบบเชื้อเพลิงซีเอ็นจีจากอู่รถยนต์ทั่วไป
พบกับยานยนต์ของเชฟโรเลต ที่บูธ A06 ภายในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2012 ครั้งที่ 29 ณ อิมแพค ชาลเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายนถึง 10 ธันวาคม 2555