บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่ (Porsche), เบนท์ลี่ย์ (Bentley) และผลิตภัณฑ์ดูแลรักษารถยนต์ระดับพรีเมี่ยม ออโต้กริม (Autoglym) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นเลิศในการให้บริการและความเป็นผู้นำด้านยนตรกรรมสปอร์ตหรู จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว AAS Body & Paint Centre of Excellence และแนะนำทีม AAS Motorsport อย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถัง AAS Body & Paint Centre of Excellence (วิภาวดีรังสิต - ดอนเมือง) AAS Body & Paint Centre of Excellence ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ครบวงจรที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเชีย แปซิฟิค ผ่านการขึ้นทะเบียนรับรองคุณภาพจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์หรู อาทิ ปอร์เช่ เบนท์ลี่ย์ จากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ และมีความเชี่ยวชาญในการซ่อมแซมวัสดุประเภทอะลูมิเนียม คาร์บอนไฟเบอร์ และ เหล็กกล้า โดยได้ผ่านการปรับโฉมครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณกว่า 120 ล้านบาท ภายใต้ขนาดพื้นที่กว่า 2,500 ตร.ม. เพียบพร้อมไปด้วยจุดปฏิบัติงานหลัก ได้แก่ “จุดวิเคราะห์ทางเทคนิค” โดยมีจุดเด่นอยู่ที่เครื่องมือตรวจวิเคราะห์สภาพรถแบบอิเล็คทรอนิกส์ หรือ Touch ที่สามารถตรวจเช็คและวิเคราะห์อาการของรถยนต์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเช็คสภาพรถที่ชำรุดเสียหายก่อนการซ่อม รวมไปถึงการวัดชิ้นส่วนต่างๆ ของตัวรถทั้งหมด ช่วยในการตรวจสอบค่าต่างๆ ได้อย่างแม่นยำในขณะปฏิบัติงาน และใช้สำหรับรับรองวิธีการแก้ไขปรับปรุงที่ถูกต้องหลังการซ่อมแซมแล้วอีกด้วย “พื้นที่เตรียมชิ้นงาน” เป็นพื้นที่สำหรับการจัดเตรียมรถหรือชิ้นงานก่อนการพ่นสี ซึ่งจะต้องเตรียมการอยู่ในส่วนที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะซึ่งเรียกว่า “พื้นที่เตรียมชิ้นงานก่อนพ่นสี” โดยพื้นที่ดังกล่าวถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสม ไร้เสียงรบกวน อากาศในบริเวณพื้นที่ต้องสะอาด ปราศจากฝุ่นละอองสิ่งสกปรก และสารทำละลายที่มีผลกระทบกับสีของชิ้นงาน AAS Body & Paint Centre of Excellence ได้เลือกใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานจากแบรนด์ Spanesi ซึ่งติดตั้งระบบกรองอากาศแบบพิเศษช่วยลดทั้งมลพิษทางเสียงและมลภาวะต่างๆ ที่เกิดจากการใช้สีรองพื้นและการขัดผิวหน้าชิ้นงาน “ห้องซ่อมชิ้นส่วนอะลูมิเนียม” พื้นที่ห้องซ่อมชิ้นส่วนอะลูมิเนียมถูกออกแบบให้อยู่ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สำคัญมากของศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง AAS Body & Paint Centre of Excellence โดยงานซ่อมชิ้นส่วนอะลูมิเนียมที่มีความหลากหลายจะได้รับการดูแลและซ่อมแซมอยู่ในส่วนนี้ทั้งหมด ภายในพื้นที่ส่วนแรกจะมีลิฟต์ยกรถที่ถูกติดตั้งให้อยู่ในระดับเดียวกับพื้นของศูนย์ซ่อมเพื่อความสะดวกในการทำงาน ออกแบบไว้เพื่อรองรับกับงานที่มีความเสียหายเล็กน้อย (งานซ่อมเบา) พื้นที่ส่วนที่สองจะมีแท่นดึงตัวถัง หรือ Universal Jig ที่ถูกออกแบบและติดตั้งตามหลักวิศวกรรมแบบสรีรศาสตร์ โดยเป็นรุ่นเดียวในโลกที่ออกแบบให้แขนรับน้ำหนัก ทั้งในแนวตั้งและแนวนอนสามารถเคลื่อนที่ด้วยตัวเองได้อย่างอิสระด้วยระบบ rack and pinion ซึ่งจะช่วยให้การวางตำแหน่งจุดยึดของตัวถังได้ง่าย มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว สามารถซ่อมแซมรถได้ทุกยี่ห้อและทุกรุ่น จากความเสียหายเล็กน้อยไปจนถึงรถที่มีความเสียหายมาก ซึ่งทั้งหมดของพื้นที่ห้องซ่อมชิ้นงานอะลูมิเนียมนี้ มีการติดตั้งระบบดูดระบายอากาศ พร้อมทั้งติดตั้งระบบไฟให้แสงสว่างครอบคลุมทั้งพื้นที่ เพื่อความสะดวกและมีประสิทธิภาพในการทำงาน รวมทั้งมีการระบายควันที่เกิดจากการเชื่อมชิ้นงานออกจากพื้นที่ทั้งหมด “ห้องพ่นสีและห้องอบสี” ห้องพ่นสีและห้องอบสีที่รวมฟังก์ชันการทำงานอยู่ในชุดเดียวกันถูกออกแบบพิเศษสำหรับการพ่นสีของพื้นผิวรถ หรือชิ้นงานที่เป็นโลหะและที่ไม่ใช่โลหะ พร้อมฟังก์ชันการอบแห้งสีตามโปรแกรมความเหมาะสมในแต่ละชนิดของชิ้นงาน ขั้นตอนการพ่นและอบสีของรถ หรือชิ้นงานต่างๆ จะดำเนินการภายในห้องนี้ โดยช่างที่มีประสบการณ์และได้รับการอบรมมาโดยเฉพาะ และควบคุมการทำงานของห้องด้วยวิศวกรที่มีทักษะและประสบการณ์สูง ระหว่างการดำเนินงานระบบจะทำการควบคุมอุณหภูมิภายในห้องให้อยู่ระหว่าง 20-25 องศาเซลเซียสในขั้นตอนของการพ่นสี และสร้างอุณหภูมิภายในห้องอบให้สูงขึ้นถึง 92 องศาเซลเซียสในขั้นตอนของการอบสี โดยใช้อุปกรณ์ Heat Generator รุ่นพิเศษของ Spanesi สามารถใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหรือต่อกับอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนจาก Boiler โครงสร้างหลัก ผนัง ท่อเป่าลม และท่อระบายอากาศของห้องพ่นและอบสีนี้ ถูกออกแบบด้วยวัสดุกันไฟ มาตรฐานระดับ Class 0 (zero) รวมไปถึงอุปกรณ์ภายใน เช่น ชุดกรองอากาศ ฉนวนกันความร้อน และอุปกรณ์อื่นๆ ก็ทำจากวัสดุป้องกันการติดไฟทั้งหมดเช่นกัน AAS Body & Paint Centre of Excellence ยังมีทีมวิศวกรและช่างฝีมือที่ผ่านการฝึกอบรมจากโรงงานผู้ผลิตย์รถยนต์ และมีประสบการณ์ดูแลและซ่อมบำรุงรถยนต์หรูกว่า 50 คนพร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานระดับเวิลด์คลาสแล้ววันนี้ ในโอกาสนี้ เอเอเอสฯ ขอแนะนำ AAS Motorsport ทีมรถแข่งมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งถือกำเนิดขึ้นภายใต้ความมุ่งมั่นที่จะนำ นวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก พร้อมประสบการณ์ด้านยนตรกรรมหรูและขีดความสามารถเหนือระดับ ซึ่งได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลและให้บริการหลังการขายที่มีมาตรฐานเป็นระยะเวลานานกว่า 30 ปี ของเอเอเอสฯ เข้าสู่การแข่งขันกีฬา Motorsport ในประเทศไทยและต่างประเทศ ผสานกับสุดยอดเทคโนโลยีของรถยนต์ปอร์เช่ (Porsche) และ เบนท์ลี่ย์ (Bentley), เหล่านักแข่ง และทีมวิศวกรมากประสบการณ์เข้าด้วยกัน ทีม AAS Motorsport ก่อตั้งและบริหารทีมโดย วุฒิกร อินทรภูวศักดิ์ ประธานบริหาร บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด นักแข่งรถยนต์ทางเรียบแถวหน้าของเมืองไทย ที่มากด้วยประสบการณ์การแข่งขัน กวาดถ้วยรางวัลทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรายการ Super GT, China GT, Porsche Carrera Cup, Blancpain Asia, Thailand Super Series และรายการอื่นๆ อีกมากมาย โดยในปี 2018 นี้ ทีม AAS Motorsport ได้ผนึกกำลังทีมนักแข่งมากฝีมือ ประกอบไปด้วย วุฒิกร อินทรภูวศักดิ์ ร่วมด้วยนักแข่งมากฝีมือการันตีด้วยตำแหน่งแชมป์รายการ Thailand Super Series 2017 และครองโพเดี้ยมในรายการแข่งขันหลายรายการ ได้แก่ กันตธีร์ กุศิริ, พสุ ลิปตพัลลภ, คมิก กรรณสูต และได้ Maxime Jousse นักแข่งมากฝีมือชาวฝรั่งเศส วัย 27 ปี ผู้มีประสบการณ์ในแวดวงกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับนานาชาติมากว่า 16 ปี มาร่วมทีมเป็นหนึ่งในนักแข่งพร้อมควบตำแหน่งผู้ฝึกสอน นอกจากนี้ยังมี ทัศนพล อินทรภูวศักดิ์ เข้าร่วมเป็นนักแข่งในรุ่น Go – Kart อีกด้วย ทีม AAS Motorsport มีขุมกำลังรถแข่งประจำทีม 3 คัน ประกอบไปด้วย Bentley Continental GT3 โมเดลปี 2015 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร ทวิน-เทอร์โบ V8 ได้รับการปรับแต่งการวางตำแหน่งเครื่องยนต์ไว้ให้อยู่บริเวณด้านหลังของห้องเครื่องให้มากขึ้นเพื่อการกระจายน้ำหนัก มีระบบส่งกำลังไปที่ล้อหลังด้วยเกียร์ Sequential 6 speed เพลาทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ช่วงล่างแบบ Double wishbone หน้า-หลังเพื่อการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ระบบเบรกจาก Brembo แบบหน้า 6 pot หลัง 4 pot พร้อมจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อน จำนวน 1 คัน และ Porsche Cayman GT4 Club Sport MR โมเดลปี 2016 มาพร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบ 3.8 ลิตร กำลัง 385 แรงม้า ระบบส่งกำลังไปที่ล้อหลังด้วยเกียร์ PDK 6 speed ตัวถังน้ำหนักเบาด้วยโครงสร้างอะลูมิเนียม ติดตั้งโรลบาร์ตามมาตรฐาน FIA พวงมาลัย Alcantara พร้อมแป้นปั่นเกียร์ paddle shift จำนวน 2 คัน พร้อมประชันความเร็วแรงในสนามแข่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ