กลุ่มอีซูซุในประเทศไทยทุ่ม 6,500 ล้านบาท เปิดตัวโรงงานผลิตรถอีซูซุแห่งใหม่ ณ นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ คลี่คลายยอดค้างส่ง “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์” และ “รถบรรทุกอีซูซุ” ตอกย้ำความเชื่อมั่นและวางใจให้ประเทศไทยเป็นหัวใจสำคัญของฐานการผลิตรถเพื่อการพาณิชย์ของอีซูซุในระดับโลก ด้วยมาตรฐานการผลิตที่ทันสมัยและสมบูรณ์แบบ ทำให้อีซูซุสามารถเพิ่มศักยภาพในการผลิตรถปิกอัพรวม 400,000 คันต่อปี และผลิตรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่รวม 30,000 คันต่อปี พร้อมส่งมอบรถอีซูซุที่มีคุณภาพระดับโลกให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ มร. ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “กลุ่มอีซูซุ ในประเทศไทยได้ขยายการลงทุนสร้างโรงงงานผลิตรถอีซูซุแห่งใหม่ ณ นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ ด้วยเงินลงทุนรวม 6,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรถปิกอัพและรถบรรทุกรวม 113,000 คันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการของตลาดรถยนต์ในเมืองไทย และตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยเมื่อรวมกับกำลังการผลิตของโรงงานเดิมแล้วจะช่วยให้สามารถผลิตรถเพื่อการพาณิชย์อีซูซุ รวมทั้งแบบ CKD ได้มากกว่า 430,000 แสนคันต่อปี ซึ่งจะช่วยคลี่คลายปัญหายอดค้างส่งในประเทศของ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์” รถปิกอัพที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการสร้างปรากฏการณ์ “อีซูซุดีแมคซ์ฟีเวอร์” ครั้งใหม่ ด้วยสถิติยอดจำหน่ายและยอดค้างส่งมากกว่า 2 แสนคันภายใน 1 ปี มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 55 ปีของการดำเนินธุรกิจอีซูซุ ในประเทศไทย รวมถึงตอบรับยอดส่งออกรถปิกอัพอีซูซุในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังช่วยรองรับการขยายตัวของตลาดรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่อีกด้วย” โรงงานผลิตรถอีซูซุแห่งใหม่ สร้างขึ้นในพื้นที่ของบริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ จังหวัดฉะเชิงเทรา มีพื้นที่ขนาด 600,000 ตารางเมตร ผลิตทั้งรถปิกอัพและรถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ของอีซูซุ มร. มาโคโตะ คาวาฮาระ ประธาน บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “โรงงานแห่งนี้เป็นฐานการผลิตที่สามของบริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีสายการผลิตครอบคลุมทั้งรถปิกอัพ รถบรรทุกขนาดกลาง และรถบรรทุกขนาดใหญ่ อีซูซุได้ย้ายฐานการผลิตรถปิกอัพมายังประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ประเทศไทยจึงเป็นหัวใจสำคัญของฐานการผลิตรถปิกอัพที่สมบูรณ์แบบที่สุดของอีซูซุ เพราะมีกำลังการผลิตสูงถึง 400,000 คันต่อปี อีกทั้งมีกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มอีซูซุในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การพัฒนา การจัดจำหน่าย รวมถึงการส่งออก สามารถขยายธุรกิจในการส่งมอบยานพาหนะคุณภาพสูงเพื่อผู้ใช้รถชาวไทยและผู้ใช้รถทั่วโลกได้ทันความต้องการมากยิ่งขึ้น โดยตลอดระยะเวลาเกือบ 50 ปีนับตั้งแต่เปิดสายการผลิตครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2506 จนถึงปี พ.ศ. 2555 โรงงานอีซูซุในประเทศไทยได้ผลิตรถอีซูซุออกไปจำหน่ายแล้วประมาณ 3 ล้านคันแล้ว” โรงงานอีซูซุแห่งใหม่ ณ นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ สามารถดำเนินการผลิตรถอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร นับตั้งแต่การขึ้นรูปชิ้นส่วนแต่ละชิ้น จนถึงการประกอบเสร็จเป็นรถอีซูซุคุณภาพสูงเพื่อขนส่งความสุขให้คนไทย และคนทั่วโลก โดยได้มีการคิดค้นวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะรักษาระดับการผลิตรถให้มีคุณภาพสูง ด้วยเทคโนโลยีการผลิตรถอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร ได้แก่ โรงประกอบตัวถัง มีการนำหุ่นยนต์ที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในการเชื่อมชิ้นส่วนตัวถังต่างๆ และเทคโนโลยีการเชื่อมที่ยอดเยี่ยมนี้ ทำให้ตัวถังรถมีความทนทานที่ดีเยี่ยม และเพื่อให้รถอีซูซุมีคุณภาพงานสีดีที่สุด บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงออกแบบโรงงานชุบสีและพ่นสีของโรงงานที่เกตเวย์ ด้วย 3 แนวคิดหลัก ได้แก่ คุณภาพที่ดีที่สุด : ด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่สุด ที่เรียกว่า “โร-ดิ๊พ”(Ro-Dip) ทำให้การเคลือบกันสนิมทั่วถึง ลดการเกิดฟองอากาศ ลดการตกค้างของฝุ่น ลดการเกิดสนิม จึงยืดอายุการใช้งานของรถ ประสิทธิภาพสูงสุด : ใช้ระบบ “ทรี-เว็ท”(Three-wet) ในการพ่นสี โดยพ่นสีอย่างต่อเนื่อง 3 ชั้น เพื่อให้งานสีมีคุณภาพสูงสุด และช่วยประหยัดพลังงาน สภาพแวดล้อมการทำงานดีที่สุด : ออกแบบเตาอบของโรงงานพ่นสีให้อยู่ที่ชั้นบนสุดของโรงงานเพื่อลดอุณหภูมิความร้อนในการทำงานของพนักงาน ดังนั้นกระบวนการพ่นสีรถอีซูซุ จึงเริ่มจากการชุบสีรถทั้งคันเพื่อกันสนิม ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ การล้างคราบน้ำมัน การชุบด้วยน้ำยาเคมี และการชุบสีด้วยประจุไฟฟ้า โดยใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่สุด เรียกว่า ”โร-ดิ๊พ” ซึ่งจะหมุนตัวรถลงไปในถังชุบสี ด้วยเทคโนโลยีนี้ทำให้สามารถเคลือบกันสนิมได้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพสูง สีชั้นเคลือบมีความหนาสม่ำเสมอทั่วทั้งคัน หลังจากนั้นยังมีการพ่นสีภายนอกตัวรถอย่างต่อเนื่องอีก 3 ชั้น คือ พ่นสีรองพื้น พ่นสีจริง และสีเคลือบเงา ซึ่งการพ่นเคลือบจะช่วยป้องกันการรั่วซึม และทำให้การพ่นสีในชั้นต่อไปเคลือบสนิทไปกับตัวถัง แล้วจึงส่งไปอบแห้งในขั้นตอนเดียว จึงทำให้งานสีมีคุณภาพสูงสุดและช่วยประหยัดพลังงาน เมื่อเสร็จสิ้นการชุบสีและพ่นสีทุกกระบวนการแล้ว พนักงานที่เชี่ยวชาญจะทำการตรวจสอบรถแต่ละคันอย่างละเอียด เพื่อรักษามาตรฐานสูงสุดของอีซูซุ ส่วนโรงประกอบขั้นสุดท้ายจะมีสายการผลิตการประกอบช่วงล่างที่ประกอบเครื่องยนต์และชุดเกียร์ การประกอบชิ้นส่วนของห้องโดยสาร และการประกอบชิ้นส่วนกระบะท้าย และอื่นๆ ซึ่งทุกกระบวนการจัดทำด้วยความใส่ใจประณีต ก่อกำเนิดเป็นรถอีซูซุที่ผ่านกระบวนการประกอบเสร็จสมบูรณ์ พร้อมสำหรับขั้นตอนต่อไป หลังจากนั้น โรงงานตรวจสอบคุณภาพขั้นสุดท้าย จะทำการตรวจสอบคุณภาพรถแต่ละคันอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ารถอีซุซุทุกคันได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพสูงสุด พร้อมส่งมอบรถอีซูซุที่มีคุณภาพระดับโลกให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้อีซูซุมีกิจกรรมระบบการบริหารงานผลิตที่โดดเด่น เรียกว่า IMM หรือ Isuzu Manufacturing Management ซึ่งเป็นกิจกรรมควบคุมการผลิตของกลุ่มบริษัทอีซูซุเพื่อป้องกันการนำรถยนต์ที่ไม่ได้มาตรฐานออกสู่ตลาด โดยกิจกรรม IMM จะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพในสายการผลิต เพื่อตรวจสอบคุณภาพชิ้นส่วนก่อนการประกอบ ทำให้มั่นใจได้ถึงการควบคุมคุณภาพ และประสิทธิภาพในการผลิตของอีซูซุ นอกจากนี้โรงงานเกตเวย์ ยังให้ความสำคัญกับการทำงานที่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ เพื่อช่วยลดความเหนื่อยเมื่อยล้า ความเครียด อันตรายของพนักงาน รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและสะดวกต่อการการทำงาน เช่น การออกแบบเตาอบของโรงงานพ่นสี ได้ออกแบบให้อยู่ชั้นบนสุด เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนในการทำงาน เป็นต้น ตลอดระยะเวลานานกว่าครึ่งศตวรรษในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย กลุ่มอีซูซุมุ่งมั่นสร้างสรรค์ยานยนต์ ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยขนส่งสินค้าและผู้คนเท่านั้น แต่ยังช่วยขนส่งความหวังและความสำเร็จ เพื่อให้คนทั้งโลกได้รับความสุขจากการใช้รถอีซูซุอีกด้วย ดังวิสัยทัศน์องค์กรที่ว่า “ผู้ใช้สุขใจ เพิ่มพูนรายได้ ช่วยให้สังคมพัฒนา” หรือ “วิถีอีซูซุ” นั่นเอง