Hilux REVO Caravan Trip…บทพิสูจน์จริงระดับโลก Stage 2  เมือง ตุนหวง ประเทศจีน – เมือง ทัชเค้นท์ ประเทศอุซเบกิสถาน เส้นทางสายแพรไหมจีน ย้อนรอยตลาดค้าโบราณท่ามกลางทะเลทราย สู่เอเชียกลาง ระยะทางกว่า 3,140 กิโลเมตร









Day 9 : 11 มิ.ย. 2559 (ตุนหวง - ฮามี่)

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของคณะสื่อมวลชนช่วงที่ 1 ที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่วันแรกของการเดินทาง และถือเป็นการต้อนรับคณะสื่อมวลชนช่วงที่ 2 ที่เดินทางจากประเทศไทยมาถึงเมืองตุนหวงเมื่อวานนี้อย่างเป็นทางการ

เช้านี้ทีมคาราวาน ไฮลักซ์ รีโว่ ทั้ง 2 คณะ ได้ออกเดินทางไปเที่ยวพร้อมกันก่อนที่คณะสื่อมวลชนกลุ่มแรกจะเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงบ่าย คณะเดินทางด้วยรถบัสไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราวๆ 25 กิโลเมตร และต่อด้วยรถบัสของอุทยานอีกต่อนึงเพื่อไปยังถ้ำโม่เกา (Mogao)




    

    




ทีมคาราวานช่วงที่ 2 รับไม้ต่อมุ่งสู่เมืองฮามิ (Hami) ซึ่งห่างออกไปราวๆ 420 กิโลเมตรเส้นทางส่วนมากจะเป็นทางตรง มีวิวสองข้างทางที่สวยงาม มาในรูปแบบของความแห้งแล้งกึ่งทะเลทรายอีกแล้ว แต่ยังคงความสวยงามในแบบที่เป็น เมื่อเข้าเขตทะเลทรายอากาศค่อนข้างร้อน ซึ่งทีมคาราวานก็โชคดีที่เตรียมเครื่องดื่มโค้กไว้ใน Cool Box หรือช่องเก็บของรักษาความเย็นมาจากโรงแรม ได้โอกาสหยิบมาดื่มดับร้อนเบาๆ นั่งกันไปเรื่อยๆ บางช่วงก็ถือว่าได้ข้ามผ่านส่วนนึงของทะเลทรายโกบี ลมแรงมาก แต่ช่วงล่าง DCS และ Firm Platform ก็ยังนิ่ง ไม่นานก็มาถึงเมืองฮามิ

เมืองฮามิ เป็นเมืองหน้าด่านของมณฑลซินเจียง มีของขึ้นชื่อและต้องห้ามพลาดคือ แตงฮามิ ซึ่งมีปลุกเฉพาะที่เมืองนี้ มาถึงก็เย็นๆ พอดี ได้เวลาทานข้าว แล้วก็เตรียมความพร้อมของการเดินทางกันต่อในพรุ่งนี้ ทริปนี้นอกจากจะพิสูจน์สมรรถนะของไฮลักซ์ รีโว่ ทั้งความหนึบ แกร่ง ทนทาน กับการขับจริงบนเส้นทางระดับโลกแล้ว เรื่องความปลอดภัยในการเดินทางทั้งรถและคนก็เป็นเรื่องสำคัญ


Day 10 : 12 มิ.ย. 2559 (ฮามี่ - ทูหลูฟาน)

วันที่สิบของการเดินทาง วันนี้คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ เริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่ 8 โมงเช้า เป็นการเดินทางท่ามกลางความสวยงามของทะเลทราย โดยมีปลายทางที่เมืองทูรูฟาน เมืองโอเอซิสที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง กับระยะทาง 410 กิโลเมตร โดยบรรยากาศในวันนี้ส่วนมากเป็นทะเลทรายสลับกับโอเอซิสคล้ายกับเมื่อวาน ถนนเป็นแบบสองเลนกว้าง วิวข้างทางเวิ้งว้างแต่ยังคงดูสวยงามบางช่วงผ่านเนินเขาที่เป็นดิน ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กำลังท่องอยู่ในแกรนด์แคนยอนที่อเมริกา

คาราวานแล่นมาตามเส้นทางและมีการใช้ความเร็วบ้าง ซึ่งบางช่วงลมแรงมาก แต่ภายในห้องโดยสารก็ยังคงเงียบ และเพื่อไม่ให้เงียบจนเกินไป ภายในรถก็มีช่องต่อ USB ให้เปิดฟังเพลงกันเพลินๆ พร้อมเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นๆ กับดูวิวสวยๆ สองข้างทาง ซึ่งถือเป็นการสร้างบรรยากาศได้อย่างดีสำหรับคาราวานไฮลักซ์ รีโว่

หลังจากแวะเติมน้ำมันและถ่ายภาพกันเป็นระยะ เราก็มาถึงเมืองทูรูฟานในช่วงเวลาบ่ายๆ จึงแวะรับประทานอาหารกลางวันกันก่อนจะเข้าไปสำรวจเมือง พออิ่มท้องเดินกลับมาที่รถ ต้องเจอกับอุณหภูมินอกรถที่พุ่งสูงถึง 50 องศาเซลเซียส ทุกคนเลยต้องรีบเข้ามารับความเย็นกันภายในรถ ซึ่งต้องขอบคุณระบบปรับอากาศของไฮลักซ์ รีโว่ ที่ปรับอุณหภูมิได้เร็วมาก เมื่อร่างกายสบายพร้อมแล้วก็ได้เวลาเดินทางสำรวจเมืองทูรูฟานกันต่อ




    

    




เมืองทูรูฟาน (Turpan / Tulufan) เป็นเมืองโอเอซิสเล็กๆ เมืองหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน โอเอซิสแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก จึงมีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น และสามารถทำการเกษตรได้อย่างกว้างขวาง คือเรียกง่ายๆ ว่าทำเกษตรกลางทะเลทรายนั่นเอง

สภาพภูมิประเทศประกอบไปด้วย ทะเลทรายตากลิมากัน (Taklimakan) ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของจีน และเป็นอันดับสองของโลก มีเทือกเขาเทียนซานพาดผ่านตลอดเส้นทาง เมืองนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่ตํ่าสุดในทวีป และเป็นที่สองของโลก โดยตํ่ากว่าระดับนํ้าทะเลถึง 157 เมตร ถือเป็นเมืองที่รวมความเป็นที่สุดในประเทศจีนไว้ทุกด้าน คือ ตํ่าที่สุด ร้อนที่สุด แล้งที่สุด และลมแรงที่สุด เห็นได้จากเมื่อขับรถเข้ามามีกังหันลมเยอะมาก

เมื่อเข้าสู่ใจกลางเมือง ไกด์ท้องถิ่นได้พาไปหาซื้อลูกเกดคุณภาพดีซึ่งถือว่าเป็นของขึ้นชื่อประจำเมือง เรียกได้ว่าลูกเกดที่ขายในจีนส่วนมากจะส่งมาจากที่นี่ จากนั้นไปชมสวนองุ่นผู่เถ้าโกว ซึ่งเป็นสวนองุ่นขึ้นชื่อของที่นี่ ทูรูฟานมีชื่อเสียงเรื่องการปลูกผลไม้มานานแล้ว ทั้งองุ่น แตงฮามี่ ลูกท้อ และที่ขึ้นชื่อที่สุดคือ องุ่นอบแห้ง โดยสวนแห่งนี้จะมีคนมาเยี่ยมเยียนเยอะมากในช่วงเทศกาลประจำปี ระหว่างเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม

หลังจากเยี่ยมชมสวนองุ่นแล้ว ไปต่อกันที่ความมหัศจรรย์ของ บ่อน้ำคันเอ๋อจิง หรือมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Karez Paradise เป็นระบบชลประทานที่ชาวเมืองทูรูฟานในอดีตใช้ภูมิปัญญาคิดและสร้างขึ้นมา โดยได้ขุดอุโมงค์ใต้ดินส่งน้ำจากหิมะละลายบนยอดเขาเทียนซานและไหลลงมาเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คนภายในเมือง มีระยะทางรวมกว่า 5,000 กิโลเมตร ด้านในมีทั้งนิทรรศการหุ่น เครื่องมือจำลองให้ดู และยังมีทางลงไปดูบ่อน้ำของจริงอีกด้วย เมื่อลองสัมผัสน้ำจะรู้สึกเย็นมาก

จากนั้นก็ได้เวลาอันสมควร ทีมคาราวานเดินทางไปรับประทานอาหารและพักกันที่โรงแรม Friendship Peak Paradise พรุ่งนี้ก็ยังมีหนทางอีกยาวไกลเช่นเคย กับระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร


Day 11 : 13 มิ.ย. 2559 (ทูหลูฟาน - อัคซู)

เช้านี้กับการเดินทางเข้าสู่วันที่สิบเอ็ด ปลายทางของวันนี้คือเมืองคูก้าร์ (Kuqa) กับระยะทาง 650 กิโลเมตร จากนั้นจะเข้าสู่คาชการ์ (Kashgar) เมืองหลักของเส้นทางสายไหมในวันถัดไป




    

    



    




เส้นทางของวันนี้ยังคงอยู่ในภูมิประเทศแบบแห้งแล้งของที่ราบกึ่งทะเลทราย ซึ่งเราเจอภูมิประเทศแบบนี้ตั้งแต่เข้าเขตตุนหวง จากที่ไม่คุ้นเคยก็เริ่มกลายเป็นความคุ้นชินขึ้นเรื่อยๆ สภาพถนนในช่วงนี้เป็นแบบสองเลน ด้านข้างเป็นที่ราบกึ่งทะเลทรายขนาดใหญ่ เส้นทางบางช่วงมีภูเขาดินและหิน สวยงามอลังการจนต้องจอดรถแวะถ่ายภาพกันเป็นระยะ บางช่วงต้องเจอกับทางโค้งเยอะพอสมควร แต่ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ GD Efficient Boost และระบบช่วงล่าง DCS ทำให้การขับขี่รู้สึกขับสนุกและมั่นใจตลอดการเดินทาง ถึงแม้บางช่วงจะมีลมแรงมากถึงขนาดที่ว่า ถ้าเปิดกระจกถ่ายรูปลมที่พัดเข้ามาทำเอาช่างภาพน้ำตาไหลกันเลย แต่รถกลับยังนิ่ง

ช่วงบ่ายทีมคาราวานจอดรับประทานอาหารกลางวันกันพออิ่มท้อง จากนั้นเร่งเดินทางกันต่อเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองคูก้าร์ เมืองโอเอซิสโบราณ และเคยเป็นจุดแวะพักของกองคาราวานบนเส้นทางสายไหมสายเหนือ แต่เราไม่ได้มีเวลาที่นี่กันมากนัก เพราะกว่าคาราวานจะมาถึงก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว จึงรับประทานอาหารและเข้านอนกันเลย เก็บแรงไว้ในวันพรุ่งนี้ เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองคาชการ์ อีกหนึ่งเมืองที่เป็นไฮไลท์บนเส้นทางสายไหม


Day 12 : 14 มิ.ย. 2559 (อัคซู - คาซการ์)

เช้านี้คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ ต้องออกจากเมืองคูการ์กันตั้งแต่ 9 โมงเช้า เพื่อตรงไปยังเมืองคาชการ์ เมืองที่ถือเป็นหัวใจหลักบนเส้นทางสายไหมในอดีต ด้วยระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร ทำให้ทีมคาราวานไม่สามารถที่จะอยู่สำรวจเมืองโบราณแห่งนี้ได้

หลังจากคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ เคลื่อนขบวนออกมาได้ไม่นาน ก็ต้องพบกับภูมิประเทศที่ราบกึ่งทะเลทรายอีกครั้ง แต่สภาพอากาศในวันนี้ไม่สดใสเหมือนทุกวัน มีลมแรงพัดมาอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งที่คาราวานต้องเจอกับพายุทะเลทราย สิ่งที่มาพร้อมกับพายุ คือ บรรดาฝุ่นและเม็ดทรายที่พัดเข้าหารถตามแรงลมของพายุอย่างหนัก พิสูจน์ให้เห็นถึงการทดสอบความนิ่งและสมรรถนะของช่วงล่างได้เป็นอย่างดี




    

    




ในช่วงบ่ายทีมคาราวานหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันกันที่เมืองอัคสุ (Aksu) เมืองใหญ่เมืองหนึ่งในภูมิภาคซินเกียง เดิมเราตั้งใจจะมาพักค้างคืนกันที่เมืองนี้ แต่เพื่อให้ทีมคาราวานได้พักผ่อนเร็วขึ้น จึงมีการปรับแผนการเดินทางไปพักที่เมืองคูก้าร์แทน

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อย ทีมคาราวานออกเดินทางกันต่อ โดยเส้นทางในช่วงบ่ายยังคงเหมือนเดิม เราขับยาวกันมาเรื่อยๆ มีการหยุดตรวจที่ด่านในบางครั้ง ไม่นานเราก็มาถึงเมืองคาชการ์ และเข้าพักที่โรงแรม Kashi Tianyuan Hotel ซึ่งอยู่ติดกับอนุสาวรีย์ท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง น่าเสียดายที่วันนี้ทีมคาราวานมาถึงกันค่ำแล้ว จึงไม่ได้สำรวจเมือง แต่วันพรุ่งนี้คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ จะหยุดพักที่คาชการ์หนึ่งวัน


Day 13 : 15 มิ.ย. 2559 (ท่องเที่ยวเมืองคาซการ์)

หลังจากเดินทางต่อเนื่องกันมาเป็นเวลา 12 วัน กับระยะทางกว่า 7,200 กิโลเมตร วันนี้จะเป็นวันแรกที่คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ จะได้หยุดพักกันหนึ่งวันที่เมืองคาชการ์ (Kashgar)

คาชการ์ (Kashgar) หรือคาสือ (Kashi) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่สุดพรมแดนทางตะวันตกของจีน เป็นจุดบรรจบแห่งอารยธรรมโบราณบนเส้นทางสายไหมอันเก่าแก่มากว่า 2,000 ปี เมื่อกองคาราวานในยุคทางสายไหมเดินทางมาถึงที่นี่ได้จะถือว่าปลอดภัยแล้ว เนื่องจากได้ผ่านพ้นเส้นทางทะเลทรายช่วงที่ยากที่สุดมาเรียบร้อยแล้วนั่นเอง ในอดีตเป็นเมืองที่เคยผ่านการถูกยึดครองทั้งจากอังกฤษ รัสเซีย ชนชาติอาหรับ และจีน

เมืองโอเอซิสแห่งนี้ตั้งอยู่บนแอ่งที่ราบทาริม (Tarim) บนขอบทะเลทรายตากลามากัน (Taklamakan) อันกว้างใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากทะเลทรายซาฮาร่า (Sahara) ที่นี่อาจเป็นเพียงแห่งเดียวในโลก ที่ผู้มาเยือนจะมีโอกาสได้เห็นชาวมุสลิมคีบตะเกียบและกินก๋วยเตี๋ยวกันอย่างเอร็ดอร่อย นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่สามารถเชื่อมต่อไปยังปากีสถานบนเส้นทางคาราโครั่มไฮเวย์ (Karakoram Highway) ซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมระหว่างคาชการ์กับกรุงอิสลามาบัด (Islamabad) ในปากีสถานอีกด้วย

โดยวันนี้ทีมคาราวานจะพักการขับรถ และเดินทางสำรวจเมืองด้วยรถบัสพร้อมกับไกด์ท้องถิ่นแทน เริ่มที่แรกกันที่ตลาดค้าส่งหลักอันขึ้นชื่อประจำเมือง (Kashgar Western & Asian Bazaar for International trade) มีสินค้าแทบจะทุกประเภทตั้งแต่เครื่องเทศ เสื้อผ้าพื้นเมือง ผ้าพันคอ รองเท้า เครื่องหนัง ขนม ของเล่น ฯลฯ ทีมคาราวานซื้อของไป ถ่ายรูปไปด้วย ซึ่งก็ได้ของติดไม้ติดมือกันมาพอสมควร เพราะของที่นี่ราคาถูกมาก ผู้คนก็น่ารักยิ้มแย้มแจ่มใจ และดูมีไมตรีให้กับคนต่างถิ่นเป็นอย่างดี




    



    




จากนั้นได้เวลาไปสำรวจเขตเมืองเก่ากันบ้าง โดยเมืองเก่าของคาชการ์นั้นมีอยู่สองที่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ฝั่งหนึ่งเป็นเมืองเก่าที่ไม่ได้รับการบูรณะ ส่วนอีกฝั่งเป็นเมืองเก่าที่สร้างขึ้นมาภายหลัง และได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A (สถานที่ท่องเที่ยวในกลุ่มที่ดีที่สุดของจีน) ซึ่งจุดแรกที่ทีมคาราวานเข้าไปชมคือฝั่งที่เป็นเมืองเก่าจริงๆ ไม่ได้รับการบูรณะใดๆ จากทางการ สภาพจึงค่อนข้างทรุดโทรมและผุพังอย่างเห็นได้ชัด บางส่วนก็ถูกรัฐบาลรื้อถอนออก ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมากที่ไม่ได้รับการอนุรักษ์และดูแลอย่างเหมาะสม ภายในเมืองเก่าแห่งนี้ยังมีคนอาศัยอยู่จริง ส่วนมากจะเป็นเด็ก ผู้หญิง และคนชรา เนื่องจากผู้ชายจะออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวกันเสียส่วนใหญ่

หลักจากนั้นเราข้ามมายังเมืองเก่าแห่งที่สองซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวหลักระดับ 5A ของเมืองคาชการ์ ถึงแม้จะถูกสร้างขึ้นมาภายหลังแต่ก็ได้รับการประชาสัมพันธ์อย่างจริงจังให้เป็นจุดท่องเที่ยวหลัก ภายในเป็นตึกรามที่หน้าตาคล้ายๆ กัน ตั้งเรียงรายอยู่ตลอดทาง มีร้านอาหารที่ได้รับการตกแต่งและดูแลอย่างดี ผู้คนยิ้มแย้ม มีถนนเส้นหลักสำหรับรถวิ่ง และตรอกซอกซอยเล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมเมืองและสัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ ซึ่งหลังจากที่เดินชมอยู่ครึ่งวัน เราพอจะนิยามเมืองนี้ได้ว่าเป็นเมืองจีนที่ไม่มีความเป็นจีน

หลังจากนั้นทีมคาราวานได้ไปเยี่ยมชมสุสานอาบัค โฮจา (Apak Hoja) อนุสรณ์สถานที่อุทิศให้กับอาบัค โฮจา นักบวชซูฟีย์ในสำนักชบันดีผู้มีชื่อเสียงที่สุดในซินเจียง มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17 ศพของท่านได้ถูกฝังไว้ที่นี่ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวอีกหลายคน ตัวสุสานที่ทำด้วยหินอ่อน ด้านในมีโรงศพพร้อมชื่อของแต่ละคน

จากนั้นไปเยี่ยมชมมัสยิดอิดกาห์ มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในจีน รองรับคนได้ถึงหนึ่งหมื่นคน คำว่า “อิดกาห์” เป็นภาษาฟาร์ซี หมายถึง สถานที่แห่งเทศกาล ทุกวันศุกร์ชาวมุสลิมเผ่าอุยกูร์จะมารวมตัวประกอบพิธีศาสนกิจกันที่นี่ โดยสถาปัตยกรรมของมัสยิดแห่งนี้เป็นสไตล์เอเชียกลางขนานแท้

ก่อนจะหมดวัน ทีมคาราวานไปเดินเล่นชมวิวกันที่จตุรัสก๋วงฉ่าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปปั้นท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่เตือนให้ทีมรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เราอยู่ในประเทศจีน เพราะวันพรุ่งนี้คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ จะเดินทางไกลข้ามชายแดนจีนเข้าสู่ประเทศคีร์กีซสถานกันแล้ว มาลุ้นไปพร้อมๆ กันว่าพรมแดนแห่งเอเชียกลางนั้น จะพบเจอกับอะไรบ้าง


Day 14 : 16 มิ.ย. 2559 (คาซการ์ - ซารีทัซ)

วันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางในสาธารณรัฐประชาชนจีนของคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ หลังจากนี้ คาราวานจะเข้าสู่เอเชียกลาง โดยเริ่มจากประเทศแรกที่มีชายแดนติดกับจีนนั่นคือ "คีร์กีซสถาน"

เป้าหมายของวันนี้อยู่ที่ หมู่บ้านซารีทัช (Sary Tash) ของประเทศคีร์กีซสถาน ด้วยระยะทางเพียง 310 กิโลเมตร แต่คาราวานก็ต้องเดินทางออกจากคาชการ์กันตั้งแต่ 7 โมงเช้า เพราะต้องผ่านด่านตรวจชายแดนถึง 3 ด่าน ซึ่งแต่ละด่านก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป และใช้เวลามากพอสมควร

หลังจากเคลื่อนขบวนออกจากคาชการ์ เส้นทางช่วงแรกยังคงเป็นที่ราบกึ่งทะเลทราย ถนนสี่เลน แต่ฝุ่นเยอะมาก ทำให้ทัศนวิสัยไม่ค่อยดี ทีมคาราวานจึงต้องขับขี่กันอย่างระมัดระวัง โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงด่านขาออกจากประเทศจีน ทุกคนต้องนำหนังสือเดินทางออกมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจและประทับตรา พร้อมทั้งเอกสารข้ามแดนของรถทุกคัน ทำให้เสียเวลาในด่านแรกนี้ไปพอสมควร หลังเสร็จจากด่านแรก ทีมคาราวานยังต้องไปหยุดที่จุดตรวจย่อยจุดสุดท้ายของชายแดนจีน แต่จุดนี้ไม่ได้มีขั้นตอนอะไรมากนัก เพราะถือว่าผ่านการตรวจจากด่านแรกมาแล้ว

เสร็จจากการผ่านด่านของประเทศจีนมาได้ คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ก็มุ่งหน้าสู่ด่านตรวจของประเทศคีร์กีซสถานที่เมืองอีร์เกชทัม (Irkeshtam) กันทันที ผ่านเขตที่เรียกว่า "No Man’s Land" หรือดินแดนที่ไม่มีเจ้าของที่อยู่ระหว่างประเทศจีนกับคีร์กีซสถาน โดยในช่วงนี้ฝนได้ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ถนนลื่นมาก แต่ช่วงล่างของไฮลักซ์ รีโว่ ก็ได้พิสูจน์ให้ทีมคาราวานเห็นมาตลอดการเดินทางแล้วว่าหนึบทุกสภาพถนน จึงขับขี่กันอย่างราบรื่น ไร้ปัญหา กระทั่งถึงด่านของประเทศคีร์กีซสถานที่อีร์เกชทัม

ขั้นตอนในด่านนี้ถือว่าไม่ยุ่งยากเช่นกัน เพียงเตรียมเอกสารต่างๆ หนังสือเดินทาง และวีซ่าให้พร้อมเท่านั้น แต่ระหว่างการตรวจเอกสารฝนก็ยังคงตกลงมาอย่างหนัก อุณหภูมิเริ่มลดต่ำลงเรื่อยๆ หลายๆ คนต้องนำเสื้อกันหนาวออกมาสวมใส่และต้องเข้าไปหลบรอในรถ อาศัยความอบอุ่นจากระบบทำความร้อน (Heater) ที่มีในไฮลักซ์ รีโว่ เมื่อตรวจครบทุกคนจึงได้เวลาเข้าสู่ประเทศคีร์กีซสถานอย่างเป็นทางการ




    






คีร์กีซสถาน เป็นประเทศแยกตัวออกมาหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อปี ค.ศ. 1991 เช่นเดียวกับ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และเตอร์กเมนิสถาน โดยทั้ง 5 ประเทศนี้เรียกรวมกันว่าเป็นเขตเอเชียกลาง (Central Asia) ซึ่งในอดีตกลุ่มประเทศที่อยู่ตรงกลางทวีปเอเชียนั้น เป็นดินแดนที่รู้จักกันน้อยที่สุด ถึงแม้จะมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน แต่ถูกซุกซ่อนบดบังในร่มเงาแห่งสหภาพโซเวียตเป็นเวลาถึงร้อยกว่าปี จนเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลง ประเทศเหล่านี้จึงประกาศอิสรภาพเกิดเป็นประเทศใหม่บนโลก

คีร์กีซสถาน มีพรมแดนติดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า บิชเคก และในอดีตก็ถือว่าเป็นเมืองหนึ่งของเส้นทางสายไหมเช่นกัน ภูมิประเทศถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาสูงเกือบ 90% ของพื้นที่ และปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งบนยอดเขาตลอดปี จุดที่สูงที่สุดในคีร์กีซสถานอยู่ที่เทือกเขาเทียนซานบนความสูงราว 7,439 เมตรจากระดับน้ำทะเล ดังนั้นใครที่รักภูเขาจะหลงรักคีร์กีซสถานอย่างแน่นอน

หลังจากคาราวานเข้ามาในคีร์กีซสถานได้ไม่นาน ความงดงามของธรรมชาติก็เข้ามาทักทาย และสร้างความตื่นตะลึงให้กับทีมคาราวานทุกคน เพราะก่อนหน้านี้หลายๆ คนแทบไม่รู้จักคีร์กีซสถานเลย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีข้อมูลให้สืบค้นน้อยมาก ซึ่งเมื่อคาราวานไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาแตะที่ความสูง 3,000 กว่าเมตร เราก็ได้สัมผัสกับทิวทัศน์สองข้างทาง ที่พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางขุนเขาสีเขียวบ้าง ดินบ้าง หิมะบ้าง กับทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างสวยงามเป็นระยะ ถนนสองเลนที่ตัดผ่านเขาเหล่านี้เหมือนกับว่ากำลังพาเราเข้ามาสู่แดนสวรรค์ ให้ความรู้สึกคล้ายมองโกเลียผสมกับทิเบต ธรรมชาติแปลกตากว่าที่เคยได้พบมาแต่สวยงามตลอดทาง สภาพถนนมีทางโค้งค่อนข้างเยอะ และบางช่วงก็มีฝนแต่ด้วยสมรรถนะการยึดเกาะถนน "หนึบ" ของไฮลักซ์ รีโว่ คาราวานทุกคันจึงผ่านไปได้ด้วยดีเช่นเคย

ผ่านไปไม่นาน ทีมคาราวานก็มาถึงหมู่บ้านซารีทัช หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขาและธรรมชาติที่สวยงาม เราพักกันที่เกสต์เฮาส์ใจกลางหมู่บ้าน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศมาสัมผัสวิถีชีวิตคนพื้นที่อย่างแท้จริง ได้รับประทานอาหารท้องถิ่น นอนท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม และพูดคุยกับชาวคีร์กีส ซึ่งทุกคนใจดีและยิ้มแย้มพร้อมต้อนรับคณะของเราเป็นอย่างดี ถือเป็นการจบวันด้วยความประทับใจอีกหนึ่งวัน


Day 15 : 17 มิ.ย. 2559 (ซารีทัซ - ออซ)

วันนี้กับการเดินทางเข้าสู่วันที่ 15 คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ ยังคงอยู่ในประเทศคีร์กีซสถานอีกหนึ่งวันโดยจะเดินทางจากซารีทัชไปเมืองออช (Osh) ระยะทางวันนี้เพียง 185 กิโลเมตรเท่านั้น ทำให้ในช่วงเช้าทีมคาราวานพอมีเวลาได้ชมความงามและสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านซารีทัชกันให้มากขึ้น หลังจากที่เมื่อคืนมีโอกาสได้นอนสบายท่ามกลางธรรมชาติและห้องนอนอันอบอุ่นแบบท้องถิ่นขนานแท้กันแล้ว เช้านี้หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ทีมคาราวานจึงออกไปเดินเล่นในหมู่บ้าน การดำเนินชีวิตของชาวบ้านเป็นไปอย่างเรียบง่าย ส่วนมากประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ ในยามเช้าเราจะได้เห็นภาพของการจูงฝูงแพะออกมาเดินเล่น และบรรดาฝูงม้าที่ยืนเล็มหญ้าในทุ่งหญ้า เป็นภาพที่ให้ความสดชื่นและประทับใจทีมคาราวานทุกคน

ประมาณ 9 โมงเช้า คาราวานไฮลักซ์ รีโว่เริ่มออกเดินทางสู่เมืองออช หลังจากขึ้นประจำที่ในรถ ทุกคนต่างนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกมาชาร์ตแบตเตอรี่ตามจุดต่างๆ ของรถ เพราะที่พักเมื่อคืนชาร์ตไฟกันลำบากมาก ฉะนั้นทั้งช่อง USB และช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสสลับ AC220 หรือช่องปลั๊กไฟบ้านที่มีในไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นดับเบิ้ลแค็บ 2.8G ขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงถูกใช้ประโยชน์กันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ Power bank แบตเตอรี่กล้องถ่ายภาพ เป็นต้น




    




ในส่วนของเส้นทางยังคงเป็นถนนสองเลนผ่านหุบเขาสวยๆ อยากจะบอกว่าที่นี่ยังรักษาความเป็นธรรมชาติไว้ได้อย่างสวยงามจริงๆ และความยิ่งใหญ่อลังการของธรรมชาตินั้น มีทั้งทางโค้งและทางลงเขามาให้ทดสอบสมรรถนะช่วงล่างเป็นระยะ วันนี้ทีมคาราวานกลุ่ม 2 ก็ได้ทดสอบการใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน หรือ DAC (Downhill Assist Control) ด้วยการควบคุมแรงดันเบรกที่ล้ออัตโนมัติ ช่วยให้รถเคลื่อนลงเนินชันด้วยความเร็วสม่ำเสมอโดยไม่ต้องแตะเบรก ซึ่งทีมคาราวานก็ผ่านมาได้อย่างสบายๆ ด้วยความมั่นใจ ระหว่างทางมีการจอดรถถ่ายภาพในบางช่วง จนเข้าสู่เขตเมืองออช จึงแวะรับประทานอาหารกลางวันแบบท้องถิ่นรสชาติดีทีเดียว หลังจากนั้นก็เข้าที่พักเช็คอินและเตรียมพร้อมสำหรับร่างกายเพื่อไปสำรวจเมืองออช

เมืองออช เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศคีร์กีซสถานที่มีอายุยาวนานกว่า 3,000 ปี มีทั้งเขตซากเมืองเก่าและเมืองใหม่ เราเริ่มสำรวจที่แรกกันที่ตลาดหลักประจำเมือง ซึ่งเป็นตลาดท้องถิ่นขนานแท้ จำหน่ายสินค้าหลากหลายชนิดทั้งเสื้อผ้า หมวก ร้องเท้า ของเล่น ขนม และของฝาก ส่วนอีกฝั่งเป็นตลาดสดให้ได้เดินชมวิถีชาวเมืองออช ซึ่งจากที่ได้สัมผัสต้องบอกว่าเป็นอีกเมืองที่ผู้คนมีความเป็นมิตรอัธยาศัยดีมาก

จากนั้นในช่วงเย็น ทีมคาราวานได้ไปชมวิวสวยๆ ของเมืองเป็นการปิดท้ายที่ Solomon's Throne ซึ่งเป็นเนินเขาใจกลางเมือง เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาจะได้เห็นวิวของเมืองออชแบบ 360 องศา ณ จุดนี้เหมือนเวลาหยุดลงชั่วขณะเพื่อให้ทุกคนได้จดจำภาพเบื้องหน้าที่สะกดสายตาให้หยุดนิ่ง สวยงามมากจริงๆ หลังจากเก็บภาพความประทับใจกันอย่างเต็มที่แล้วก็ได้เวลารับประทานอาหารเย็นและพักผ่อน


Day 16 : 18 มิ.ย. 2559 (ออซ - ทัชเค้นช์)

เข้าสู่วันที่ 16 ของการเดินทางสร้างประวัติศาสตร์ของคาราวานไฮลักซ์ รีโว่ กับภารกิจสุดท้ายในประเทศคีร์กีซสถานในวันนี้ คือการข้ามชายแดนเข้าสู่ประเทศอุซเบกิสถาน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมืองทาชเคนต์ (Tashkent) เมืองหลวงของอุซเบกิสถาน ด้วยระยะทาง 395 กิโลเมตร ซึ่งขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของอุซเบกิสถานนั้นค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานานมาก ทำให้ทีมคาราวานต้องออกเดินทางกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า

คาราวานบอกลาเมืองออช แล้วมุ่งหน้าเคลื่อนขบวนสู่ด่านชายแดนของคีร์กีซสถานซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก มีการตรวจเอกสารและหนังสือเดินทางกันเป็นรายบุคคล โดยมีไกด์ท้องถิ่นช่วยอำนวยความสะดวกในการแปลภาษา ซึ่งใช้เวลาไม่นานมากนักก็ผ่านมาได้ด้วยดีครบทุกคัน จากนั้นจึงมุ่งหน้าสู่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศอุซเบกิสถานทันที

ทีมคาราวานมาถึงด่านตรวจกันเวลาประมาณเที่ยงวัน ซึ่งทุกคนค่อนข้างกังวลพอสมควรกับระบบการตรวจที่เข้มงวดมากและยังไม่ค่อยทันสมัย โดยขั้นตอนเริ่มตั้งแต่การแยกผู้โดยสารและคนขับรถออกจากกัน ให้ผู้โดยสารเดินผ่านเข้าไปก่อน พร้อมกับการโดนตรวจค้นที่ละเอียดมาก ทั้งโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และของส่วนตัวทุกอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้นำเอารูปภาพหรือสิ่งที่ไม่เหมาะสมเข้ามา มีการสอบถามอย่างละเอียดทีละคน คนละหลายครั้งตั้งแต่ด่านแรก จุดประทับตราวีซ่า จนถึงขั้นพิธีการศุลกากร (Custom Clearance) ในส่วนของการตรวจรถก็มีขั้นตอนที่ยุ่งยากไม่น้อยไปกว่ากัน โดยรถทุกคันต้องผ่านการตรวจทั้งเอกสาร ระบบต่างๆ และสัมภาระทุกชิ้นอย่างละเอียด ทั้งจากเจ้าหน้าที่ทหาร และสุนัขทหารที่มาดมกลิ่นตรวจหาสิ่งต้องห้ามบนรถกันอีกหนึ่งรอบเพื่อความมั่นใจ โดยทีมคาราวานสามารถผ่านด่านเข้าสู่ประเทศอุซเบกิสถานเมื่อเวลา 6 โมงเย็น ถือว่าตรวจเข้มมาก




    




โดยเส้นทางในช่วงแรกนี้ค่อนข้างขรุขระ เรียกได้ว่ามาทดสอบความนิ่มของช่วงล่างกันก่อนเลย ซึ่งไฮลักซ์ รีโว่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี เมื่อตรวจดูระยะทางหลังจากนี้ ยังเหลืออีกประมาณสามร้อยกว่ากิโลเมตรถือว่าไกลพอสมควร ทีมคาราวานจึงตัดสินใจแวะรับประทานอาหารเย็นก่อนที่ร้านอาหารพื้นเมืองของอุซเบกิสถาน ก่อนจะออกเดินทางกันต่อโดยตั้งแต่ผ่านด่านประเทศจีนที่เมืองคาชการ์มาจนถึงขณะนี้ คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ ยังไม่ได้เติมน้ำมันกันเลย ทั้งที่ต้องขับขึ้น-ลงเขากันตลอดทางกว่า 550 กิโลเมตร โดยมาเติมน้ำมันที่อุซเบกิสถาน 30 ลิตร ให้เต็มถัง เพื่อความมั่นใจในการเดินทางต่อ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความประหยัดน้ำมันของไฮลักซ์ รีโว่ได้เป็นอย่างดี

หลังจากนั้นออกเดินทางกันต่อสิ่งที่ไม่คาดคิด คือทีมคาราวานเจอกับด่านตรวจหนังสือเดินทางอีกถึง 2 ด่าน โดยในด่านที่สองมีการตรวจที่ละเอียดมาก ขนาดที่ทุกคนต้องลงจากรถเพื่อไปเข้าแถวตรวจเป็นรายบุคคลทำให้เสียเวลาไปอีกกว่าชั่วโมง

เมื่อต้องผ่านการตรวจอันเข้มข้นมาถึง 4 ครั้งภายในวันเดียว ทีมคาราวานจึงรีบเดินทางกันต่อ เพื่อไปถึงเมืองทาชเคนต์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สภาพถนนในช่วงนี้ค่อนข้างแคบมีที่กั้นเป็นระยะ และมืดมาก ต้องอาศัยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ของไฮลักซ์ รีโว่ เป็นตัวส่องสว่างและเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ ทำให้สามารถขับผ่านไปได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังเจออุปสรรคในการขับขี่ คือความจอแจของรถในท้องถิ่นที่ขับมาแทรกในขบวนคาราวานตลอดทาง ทำให้ทุกคันต้องขับกันอย่างระมัดระวัง จนถึงเมืองทาชเคนต์ในเวลาเกือบตี 4 ถือเป็นวันที่ค่อนข้างวุ่นวายและเหนือการควบคุมของทีมคาราวานจริงๆ แต่ก็ต้องชื่นชมทุกๆ คนในการเดินทางครั้งนี้ที่ให้ความร่วมมือและเต็มที่กับการเดินทางตลอดวันนี้ แม้มีอุปสรรคเข้ามาทั้งวัน


Day 17 : 19 มิ.ย. 2559 (ทัชเค้นช์)

วันนี้คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ อยู่กันที่เมืองทาชเคนต์ ประเทศอุซเบกิสถาน โดยคาราวานจะหยุดพัก 1 วันเพื่อตรวจเช็คสภาพรถ เพราะจากกรุงเทพฯ จนมาถึงที่นี่ คาราวานไฮลักซ์ รีโว่ได้เดินทางกันมารวมระยะทางถึง 8,387 กิโลเมตรแล้ว เรียกได้ว่าผ่านสภาพถนน ภูมิประเทศ และสภาพภูมิอากาศอันแปรปรวนมาทุกรูปแบบ วันนี้จึงถือโอกาสพักทั้งรถและคน เพื่อเตรียมพร้อมเต็มที่สำหรับการเดินทางในช่วงต่อไป และถือโอกาสเปลี่ยนมือคณะสื่อมวลชนกลุ่มที่ 3 โดยสเตจนี้มีลูกค้าผู้ใช้รถไฮลักซ์ วีโก้ และไฮลักซ์ รีโว่ เข้าร่วมพิสูจน์สมรรถนะจริงระดับโลกด้วย

อุซเบกิสถาน เป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเอเชียกลางที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 และยังจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลถึง 2 ชั้น (Double-landlocked countries) หมายถึง ประเทศที่ถูกล้อมรอบด้วยประเทศที่ไม่มีทางออกทะเลหรือถูกปิดล้อมด้วยแผ่นดิน โดยประเทศที่อยู่ในกลุ่ม Double-landlocked countries มีเพียง 2 ประเทศในโลก คือ อุซเบกิสถาน และลิกเตนสไตน์

โดยวันนี้ทีมคาราวานจะได้พักผ่อนหลังจากเมื่อวานถือเป็นวันหฤโหดสำหรับการเดินทางข้ามคืนกันเลยทีเดียว เริ่มจากการท่องเที่ยวสำรวจสถานที่สำคัญในเมืองทาชเคนต์ เมืองหลวงของอุซเบกิสถานกัน ซึ่งในอดีตบริเวณนี้ถือเป็นเขตใจกลางเส้นทางสายไหมทางฝั่งเอเชียกลาง เปรียบเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย ที่เป็นชุมทางการค้าบนเส้นทางสายแพรไหม พ่อค้าที่เดินทางผ่านทะเลทรายอันหฤโหดจะมาชุมนุมกันที่นี่ จึงทำให้บริเวณนี้เป็นจุดศูนย์รวมของวัฒนธรรม ทั้งเติร์ก เปอร์เซีย อุซเบก และทาจิก ปัจจุบันทาชเคนต์จัดว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง ที่มีจำนวนประชากรกว่า 2 ล้านคน




    

    




โดยสถานที่แรกที่ทีมคาราวานได้ไปเยี่ยมชมคือ ตลาดชอร์ซู (Chorsu Bazaar) ตั้งอยู่ใจกลางกรุงทาชเคนต์ในส่วนของเมืองเก่า ตลาดแห่งนี้เคยเป็นชุมทางการค้าบนเส้นทางสายแพรไหมในอดีต มีอาคารเป็นรูปทรงกลม และหลังคาโดมขนาดใหญ่ เป็นศูนย์สรรพสินค้าและตลาดสดที่คึกคัก รอบๆ อาคารยังมีร้านขายสินค้าอุปโภค บริโภค ของที่ระลึก และร้านอาหารอีกมากมาย เรียกว่าเป็นตลาดที่คับคั่งและมีความวุ่นวายที่สุดของเมืองเลยก็ว่าได้ บริเวณนี้ยังมีมัสยิดจูมาร์ กับกูเกลดัช มาดรัสซา (โรงเรียนสอนศาสนาในอดีต) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่น่าสนใจมาก

หลังจากนั้นไปต่อกันที่ Khast Imam Complex ซึ่งประกอบด้วยมัสยิดสุสานของบุคคลสำคัญในอดีด และโรงเรียนสอนศาสนา ตกแต่งด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมแบบเปอร์เซียอันวิจิตรตระการตา จากนั้นไปเยี่ยมชมอนุสาวรีย์อมิร์ ติมูร์ (Amir Timur) หรือทาเมอร์เลนข่าน วีรกษัตริย์ที่ชาวอุซเบกิสถานนับถือ และเป็นทายาทรุ่นหลานของเจงกิสข่าน กษัตริย์นักรบแห่งมองโกเลีย โดยในยุคที่ อมิร์ ติมูร์ ปกครองดินแดงแห่งนี้ ท่านได้นำวิทยาการก้าวหน้าในการรบมาจากจีน และรับศาสนาอิสลามจากเปอร์เซีย นำกองทัพขึ้นไปดินแดนทางเหนือด้วยการพิชิตรัสเซีย ทางใต้พิชิตอินเดียและยุโรปตะวันออก และยังมีเป้าหมายที่จะไปพิชิตจีนอีกด้วย แต่ท่านมาด่วนสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน เรียกได้ว่ามีการสร้างวีรกรรมมากมายให้กับประเทศ

จากนั้นไปเดินเล่นกันที่ Independence Square ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอนุสาวรีย์อมิร์ ติมูร์ หรือในภาษาอุซเบกเรียกว่า Mustaqillik Maydoni เป็นลานขนาดใหญ่ที่เคยใช้จัดกิจกรรมต่างๆ ของสหภาพโซเวียตในอดีต เช่น การเดินสวนสนาม และการชุมนุมต่างๆ ปัจจุบันได้กลายเป็นสวนสาธารณะ มีการปลูกต้นไม้ไว้อย่างร่มรื่น เหนือประตูทางเข้ามีรูปปั้นนกกระทุงอยู่ 3 ตัว บินอยู่เหนือลูกโลก ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี

เดินสำรวจเมืองกันพอสมควร ก็ได้เวลาอันสมควรแล้วสำหรับคณะสื่อมวลชนกลุ่มที่ 2 เดินทางสู่สนามบินเพื่อกลับประเทศไทย และรอผลัดไม้ของคณะสื่อมวลชนและลูกค้าที่จะมาร่วมคาราวานในสเตจ 3 ซึ่งเดินทางมาถึงค่ำคืนนี้ ถือว่าราตรีนี้ยังอีกยาวไกลทีเดียว ทีมคาราวานที่เหลือขอไปเตรียมพร้อมตรวจเช็คสภาพรถเพื่อต้อนรับคณะต่อไป