อุตสาหกรรมยานยนต์มองอนาคต ไทยยกระดับสินค้า ผลักดันรถพลังงานไฟฟ้า ชิ้นส่วนต่อยอดเครื่องมือแพทย์ อากาศยาน หนีคู่แข่ง หลังตลาดรถซึมยาว เปิดโอกาสเพื่อนบ้านไล่ตาม ด้านตลาดในประเทศหวังแรงกระตุ้นรัฐ เอกชน ดันครึ่งปีหลังฟื้น เร่งรัฐอัดงบ ปลดล็อครถคันแรก เปิดโอกาสแท็กซี่อีโค คาร์ ระบายมือสองออกต่างประเทศ สร้างกำลังซื้อใหม่
สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (TAJA) จัดสัมมนา “ทางเลือก-ทางรอด ปลดล็อคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย” โดยงานนี้ได้รับเกียรติจากนายจรวย ขันมณี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยานยนต์ สแควร์ กรุ๊ป จำกัด และประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน Bangkok International Grand Motor Sale 2015 หรือ BIG Motor Sale 2015 กล่าวเปิดงานสัมมนา พร้อมด้วยวิทยากรพิเศษ ทั้งภาครัฐ ,กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงินร่วมแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น ที่ไบเทค บางนา วานนี้ (5 ส.ค.58)
โดยนางอรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าตลาดรถยนต์ไทย แม่จะอยู่ในช่วงถดถอย แต่เมื่อเทียบกับวิกฤติในอดีต ทั้งต้มยำกุ้ง หรือว่า วิกฤติแฮมเบอเกอร์ ถือว่าสถานการณ์ปัจจุบันดีกว่ากันมาก และภาคการผลิตก็ยังทำได้ดี เนื่องจากยังมีการส่งออกที่ขยายตัว
ขณะที่กระทรวงก็ยังคงเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมยานยนต์ และพยายามที่จะยกระดับให้ก้าวไปข้างหน้า และแผนพัฒนาอุตสาหกรรมฉบับที่ 12 ก็ใกล้ที่จะออกมา
ทั้งนี้ มองว่าการวางยุทธศาสตร์ยานยนต์ใน 5 ปี ข้างหน้า เห็นว่าสิ่งสำคัญคือไทยต้องผลิตสินค้าที่ โลกต้องการ มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาไทยทำได้ตรงตามแนวคิดนี้ไม่ว่าจะเป็นปิกอัพ หรืออีโค คาร์ แต่ในอนาคต ไทยจะต้องส่งเสริมสินค้าตัวใหม่ๆ และเห็นว่าที่น่าสนใจคือ รถพลังงานไฟฟ้า และระบบรางที่ต้องการให้เกิดการผลิตภายในประเทศ
ขณะที่ชิ้นส่วนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญก็จะต้องยกระดับเช่นกันเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับ การแข่งขัน ซึ่งจากการหารือกับกลุ่มอุตสาหกรรมสนับสนุนสนใจที่จะเข้าสู่การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า รวมไปถึงชิ้นส่วนอากาศยานที่เริ่มมีผู้ผลิตแล้วในขณะนี้
“การวางกลยุทธ์ต้อง ต้องตอบประเด็นท้าทายของอุตสาหกรรมโลก โดยเฉพาะเรื่อง พลังงานและสิ่งแวดล้อม ทำให้อุตสาหกรรมมุ่งไปที่เทคโนโลยีที่ใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งในระดับโลกมุ่งไปยังรถไฟฟ้า ซึ่งภาครัฐก็กำลังมองว่าจะเป็นโปรดักท์ แชมเปี้ยนตัวที่ 3”
ชี้ 5 ปีสัดส่วนรถไฟฟ้า 20%
นายประพัฒน์ เชยชมรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและการขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถพลังงานไฟฟ้าจะมีบทบาทมากในอนาคต โดยคาดการณ์กันว่าในตลาดโลกปี 2563รถพลังงานไฟฟ้าจะมีบทบาทมากขึ้น โดยมีสัดส่วน 20% ของยอดขายทั้งหมดซึ่งทิศทางดังกล่าวหากรัฐจะช่วงชิงโอกาสในการให้ไทยเป็นฐานการผลิตก็จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมในอนาคต
“แน่นอนว่าเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้นในเวลาใกล้ๆนี้ แต่หากวางแผนระยะกลาง-ยาว เพื่อให้ไทยสามารถเป็นฐานการผลิตของรถพลังงานไฟฟ้าได้จะเป็นสิ่งที่ดี”
นายประพัฒน์กล่าวว่าการที่ไทยจะพัฒนาไปสู่การผลิตสินค้าเทคโนโลยี สูงจะเป็นการหนีคู่แข่งที่ต้องการแย่งชิงฐานการผลิตรถจากไทย ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม พม่า ที่มีจำนวนประชากรสูง และได้เปรียบในด้านค่าแรงที่ต่ำกว่าไทย
ด้านนายประสพสุข ดำรงชิตานนท์ ประธานกรรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า รถพลังงานไฟฟ้าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะอนาคตจะขยายตัวอีกมาก ขณะที่ไทยเองก็ถือว่ามีความได้เปรียบเพราะมีซัพพลายเช่นด้านอุปกรณ์พลังงานไฟฟ้าหรือคอมพิวเตอร์ อยู่แล้วรวมไปถึงรถไฮบริด ซึ่งมีระบบไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบหลักก็ขยายตัวดี โดยปัจจุบันทั่วโลกเติบโต 21% ขณะที่รถทั่วไปโต 4%
กลุ่มอุตฯหวังรัฐอัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ครึ่งปีแรกว่า ยอดขายยังคงหดตัว แต่การส่งออกยังคงเติบโตได้ โดยเฉพาะรถอีโค คาร์ ที่ขยายตัวโดดเด่น 21% และมั่นใจว่าทั้งปีภาพรวมส่งออกจะทำได้ 1.2 ล้านคันตามเป้าหมาย
การส่งออกที่เติบโตเป็นเพราะตลาดเป้าหมายหลักมีภาวะที่ดีรวมถึงการได้ตลาดใหม่อย่าง อเมริกาเหนือเข้ามาเสริมอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากังวลขณะนี้ก็คือ การที่สหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษทางการค้า หรือจีเอสพี ของไทย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกในอนาคต และสูญเสียความได้เปรียบเนื่องจากคู่แข่งของไทยอย่าง อินโดนีเซีย ไม่ถูกตัดสิทธิ์ ดังนั้นจึงต้องการให้ภาครัฐเร่งการทำเอฟทีเอ กับอียูให้เร็วที่สุด
ส่วนโอกาสในการขยายตลาดเห็นว่าการผลักดันให้ไทยเป็นฐานผลิตรถบรรทุกเพื่อส่งออก รองรับการเปิดเออีซี เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะการขนส่งระหว่างกันที่จะเพิ่มมากขึ้น จะผลักดันให้รถบรรทุกขยายตัว และการที่รถกลุ่มนี้มีมูลค่าสูง จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับไทยอีกมาก
ขณะที่ตลาดในประเทศซึ่งทำได้ 369,004 คัน ลดลงประมาณ 16% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ทำให้กลุ่มตัดสินใจปรับลดเป้าหมายปีนี้ลงเหลือ 850,000 คัน
อย่างไรก็ตามเห็นว่าหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น อาจจะมีพิจารณาอีกครั้งในเดือน ก.ย. ซึ่งมีความเป็นได้ที่จะปรับลดลงเหลือ 800,000 คัน. “สิ่งที่อยากเห็นในช่วงนี้ก็คือ การที่ภาครัฐเร่งรัดการลงทุน หรือการเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าหมาย หลังจากช่วงครึ่งปีแรกพลาดเป้า ซึ่งหากรัฐไม่เร่งรัด เราอาจจะปรับลดเป้าอีกครั้ง
เชื่อผ่านจุดต่ำสุด
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ไทยเชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุด และครึ่งปีหลังจะมีสถานการณ์เป็นบวก แต่จะต้องมีการดำเนินนการใน 3 ส่วนหลักคือ แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การกระตุ้นการบริโภคผู้บริโภค และ การดำเนินการของภาคเอกชนเพื่อเพิ่ม ใช้นโยบายการตลาดดึงความต้องการ“ครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยบวกคือแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นโยบายดอกเบี้ย และราคาน้ำมัน”
วอนรัฐหาตลาดรองรับอีโค คาร์
นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย รวมถึงรถคันแรกที่ดึงกำลังซื้อไปใช้ล่วงหน้าและยังมีข้อกำหนดเรื่องการครอบครองครบ 5 ปี จึงจะสามารถเปลี่ยนผู้ครอบครองได้นั้น เห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าว แม้ค่ายรถจะพยายามสร้างแคมเปญขึ้นมา แต่ก็กระตุ้นตลาดไม่ได้ เพราะผู้ที่พอมีกำลังซื้อและต้องการเปลี่ยนรถใหม่ ไม่สามารถขายรถคันเดิมออกได้ ซึ่งหากปลดล็อคส่วนนี้ก็จะช่วยกระตุ้นตลาดได้บ้าง
และในส่วนของโครงการอีโค คาร์ ซึ่งปัจจุบันมี 2 เฟส หากผลิตตามเงื่อนไขทั้งหมดทุกยี่ห้อจะมียอดรวมกัน 9แสนคัน ซึ่งตลาดในประเทศไม่เพียงพอต่อการรองรับ ดังนั้นเห็นว่าการที่รัฐกำหนดเฟส 2 เพิ่มเข้ามา ก็ควรจะต้องช่วยหาตลาดให้ด้วย เช่น การพิจารณาเงื่อนไขรถแท็กซี่ ว่าจะทำอย่างไรให้อีโค คาร์ สามารถใช้ทำเป็นรถแท็กซี่ได้
ทั้งนี้ปัจจุบัน เงื่อนไขข้อหนึ่งของรถแท็กซี่คือ เครื่องยนต์ไม่ต่ำกว่า 1,600 ซีซี ขณะที่อีโค คาร์ ปัจจุบัน รุ่นเบนซินอยู่ที่สูงสุด 1,400 ซีซี และดีเซล 1,500 ซีซี
เช่าซื้อมองตลาดรถ
ด้านนายอนุชาติ ดีประเสริฐ ประธานกรรมการสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ที่ถดถอยส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจของเช่าซื้อที่มีเงินเป็นสินค้าหลัก แต่อย่างไรก็ตามยืนยันว่าอัตราการไม่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อของผู้ต้องการซื้อรถไม่ถึง 40-50% อย่างที่เป็นข่าว แต่ยอมรับว่าเพิ่มขึ้น จากประมาณ 5% เป็น 10% “ผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็รู้ตัวดี ถ้าไม่พร้อมก็ไม่เดินเข้าไปสถาบันการเงิน สถาบันไม่ได้เปลี่ยน เงื่อนไขแต่อาจจะมีมุมมองหรือดูมากขึ้น มีรายได้เท่าเดิม กู้เท่าเดิมแต่ภาระหนี้เยอะสถาบันการเงินจะมองว่า มีความสามารถในการดำรงชีพได้หรือไม่”
สำหรับมุมมองต่อภาพรวมตลาดรถยนต์ เชื่อว่าปีนี้น่าจะได้ 800,000 คัน โดยมีปัจจัยบวกคือ ค่ายรถต่างๆ พยายามหาทางกระตุ้นยอดขาย ราคาน้ำมันที่ต่ำ การไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของกนง. และการท่องเที่ยวที่ขยายตัว ส่วนปัจจัยลบคือภาพรวมเศรษฐกิจ ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ
“อีกประเด็นหนึ่งที่อยากเห็นคือ อยากให้รัฐหาทางระบายรถมือสองออกไปต่างประเทศบ้าง เพราะการที่ปริมาณรถมือสองในบ้านเราเยอะ ทำให้ลูกค้าที่ต้องการขายรถคันเดิมเพื่อเปลี่ยนรถใหม่ ได้ราคาไม่ดี ทำให้ไม่อยากขาย การระบายออกไป จะทำให้ตลาดโดยรวมหมุนเวียนมากขึ้น”
พบกับกิจกรรมดีๆ สำหรับสมาชิกสมาคม และสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ www.tajathailand.com และ facebook .com/tajathailand ซึ่งคณะกรรมการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างสมาชิกและคนรักยานยนต์ทั่วประเทศ